หักหัวคิว40% กักตัวโควิด กล้าไหมเชือดไก่ให้ลิงดู

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000005740701.JPEG

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ฉาวกันครบเครื่องกับเรื่องโควิด กรณีองค์การปกครองท้องถิ่น (อปท.)โกงซื้อเครื่องฉีดพ่นฆ่าเชื้อแพงเวอร์ยังไม่จบ ดันมามีขบวนการเรียกหักหัวคิว 40% กับโรงแรมที่จะใช้กักตัวคนไทยที่เตรียมเดินทางกลับไทยซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 7 - 8 หมื่นคน ที่น่าแปลกก็คือทั้งกลาโหม ตำรวจ บอกรู้ตัวแล้ว แต่ยังทำเงื้อง่า ไม่กล้าฟัน น่าสงสัยบุคคลต้องสงสัยในขบวนการนี้ที่มีชื่ออักษรย่อ “พ.” เส้นใหญ่จริง? หรือไม่?

ที่น่าจับตา งานนี้ “หมอหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ท้าเปิดหลักฐานกล้องวงจรปิดลากคนผิดมาประจานกันไปว่ามีคนทำมาหากินกับความเดือดร้อนของผู้อื่น ขณะที่ “หมอตี๋” นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชิ่งหลบบอกไม่รู้เรื่องลูกเดียว

นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักที่ภาคเอกชน จะกล้าโยนระเบิดเข้ากลางวงจนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง เพราะถ้าไม่ถึงขีดสุดจริงๆ เอกชนเลือกที่จะไม่รบหรือมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานรัฐ อะไรที่ขอกันไม่มากไปพอรับได้ก็ยอมๆ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวตายหยังเขียด หากมีช่องทางทำมาหารายได้เข้ามาเลี้ยงพนักงานรอผ่านพ้นวิกฤตไปได้ก็ต้องเอา

แต่เรื่องการงาบหัวคิวที่ขอ “เงินทอน” สูงถึง 40% หากโรงแรมไหนต้องการได้รับเลือกจากรัฐให้เป็นสถานที่กักกัน (State Quarantine) ผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศ 14 วันนั้น มันมากไปจริงๆ และกลายเป็นอาการเลือดเข้าตา สถานการณ์ย่ำแย่ขนาดนี้ยังจะมาขูดรีดกันอีก

การออกมาเปิดโปงเหมือนดับเครื่องชนของตัวแทนองค์กรภาคธุรกิจท่องเที่ยวภาคตะวันออก ที่แท็กทีมกันมาพร้อมหน้า ทั้งสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก สมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี นั้น นับว่ากล้าหาญชาญชัย และมีน้ำหนักอย่างมาก เพราะเป็นการออกมาแฉโดยภาคเอกชนที่ถูกรีดโดยตรง ไม่ใช่ข่าวร่ำลือหรือโคมลอยที่จะต้องไปเสียเวลาควานหาต้นตอ ตัวการหรือไอ้โม่ง

ถึงเวลานี้จึงขึ้นอยู่กับว่าเมื่อกลาโหมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกรู้ตัวแล้ว จะดำเนินการอย่างไร เชือดไก่ให้ลิงดู หรือปล่อยไปตามเรื่องตามราวเดี๋ยวข่าวก็เงียบไปเอง อีหรอบเดิมเหมือนที่ผ่านๆ มา

ประกาศิตของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้จัดการเด็ดขาดอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จะเป็นผลหรือไม่ เดี๋ยวก็คงรู้

ว่ากันที่ต้นตอของความอื้อฉาว อันดับแรกสุดต้องรู้ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้ กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดย อปท. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงคมนาคม จัดหาที่พัก อาหาร ยานพาหนะ รวมทั้งอุปกรณ์จำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรคให้แก่ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 14 วัน โดยรัฐเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ดังนั้น การดำเนินการที่เกี่ยวกับการกักกันผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศ จึงมีหน่วยงานเกี่ยวข้องหลายหน่วย แต่หลักๆ คือ กลาโหม และสาธารณสุข ซึ่งก่อนหน้านี้ สธ.ได้เปิดรับลงทะเบียนโรงแรมที่จะเข้าร่วม จากนั้น สธ. และ กลาโหม เชิญโรงแรมที่สนใจมาประชุมรับฟังหลักเกณฑ์แนวทางเพื่อเข้าร่วมเป็น Alternative State Quarantine Hotel ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา

โอกาสนี้ บรรดาโรงแรมในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ มีโรงแรมขนาดใหญ่ที่เข้าเกณฑ์ เช่น มีขนาดมากกว่า 200 ห้อง พื้นไม่ปูพรม มีแอร์แยกแต่ละห้องพัก และมีใบอนุญาตสถานประกอบการโรงแรม ฯลฯ ต่างให้ความสนใจ และโรงแรมหลายแห่งได้รับคัดเลือกให้ใช้เป็น State Quarantine ไปแล้วกว่า 1 หมื่นห้อง

ทำไปทำมาคงรู้ว่านี่เป็นบ่อเงินบ่อทองที่จะตักตวง เพราะพวกเหลือบก็รู้ว่าบรรดาโรงแรมไม่มีทางเลือกมากนักในภาวะวิกฤตนี้ ดูท่าจะรีดมากไปจนพวกชักทนไม่ไหว บรรดาตัวแทนองค์กรภาคธุรกิจท่องเที่ยวพัทยาและชลบุรี จึงแฉว่า มีกลุ่มบุคคลซึ่งไม่ทราบว่ามาจากหน่วยงานใดเข้ามาประสานโรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่งในเมืองพัทยา พร้อมกล่าวอ้างว่าเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกโรงแรมที่จะใช้เป็น State Quarantine หากโรงแรมยอมจ่ายเงินค่าดำเนินการ 40% ของค่าหัวที่รัฐจ่ายให้รายละ 1,000 บาท/คน/วัน ก็จะประสานเพื่อให้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งดีกว่าปิดกิจการ แบกภาระค่าใช้จ่าย

นายธเนศ ศุภรสหัสรังสี รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี ยืนยันว่า มีคนบางกลุ่มที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ไม่ทราบสังกัดใด พยายามเข้ามาติดต่อกับทางโรงแรม โดยแจ้งว่า จะพิจารณาให้โรงแรมผ่านมาตรฐานการจัดตั้งเป็น State Quarantine และจะได้ค่าใช้จ่ายค่าเข้าพัก 1,000 บาท/คน/วัน หลังได้รับเงินให้หักค่าดำเนินการหรือค่าหัวคิวให้ผู้ประสานงานด้วยในอัตรา 40%

“.... สุดท้ายทางโรงแรมจะได้ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพียง 600 บาท/คน/วัน ซึ่งไม่คุ้มค่าใช้จ่าย จึงได้ตอบปฏิเสธไป แต่ก็ยังความพยายามเข้ามาติดต่อกันอยู่อย่างต่อเนื่อง การกระทำแบบนี้รัฐบาลทราบหรือมีการตรวจสอบหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทั้งการหักหัวคิวในงบประมาณของรัฐ ซึ่งไม่ทราบว่ามีขบวนการกันอย่างไร และถือเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการ...." นายธเนศ กล่าว

นายเอกสิทธิ์ งามพิเชษฐ์ นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สำทับว่า มีกลุ่มคนลักษณะเดียวกันเข้ามาติดต่อและขอหักค่าพิจารณาเพื่อเสนอให้เป็น State Quarantine ในสัดส่วน 30 - 40% แม้โรงแรมบางแห่งอาจไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดแต่ก็สามารถดำเนินการประสานงานให้ได้ คนกลุ่มนี้ทำงานกันเป็นทีม แต่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ไม่ทราบ

เช่นเดียวกัน นายสรรเพ็ชร ศุภบวรเสถียร ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก กล่าวว่า โรงแรมในเครือที่ดูแลเป็นโรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่ง ที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้เข้ามาติดต่อเช่นกันในหลายช่องทาง แต่ด้วยราคาและยังหักค่าเงินค่าหัวคิวอีกจึงปฏิเสธไป เพราะมองว่าไม่คุ้มกับที่ต้องมาเปิดให้บริการแบบครบวงจร ขณะที่ได้รับค่าตอบแทนเพียงหัวละ 600 - 700 บาทเท่านั้น

เสียงของนักธุรกิจโรงแรมในพื้นที่พัทยา บอกชัดว่า สิ่งที่อยากได้จากหน่วยงานของรัฐก็คือ ข้อเท็จจริงเรื่องการเอาผิดกับผู้ที่อยู่ในขบวนการ และฉีกหน้ากากขบวนการเหล่านี้ออกมาประจานต่อสังคม

ความอื้อฉาวที่ปรากฏเป็นข่าวคราวขึ้นมา ไม่เพียงแต่มีประเด็นเรื่องค่าหัวคิว 40% เท่านั้น หากฟังข้อมูลจากนายธเนศ ศุภรสหัสรังสี รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี ยังมีประเด็นโรงแรมไม่ได้ตรวจสอบตามมาตรฐาน State Quarantine แต่ได้ใช้เป็นสถานที่กักตัวผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศด้วย

ตามข้อมูลที่นายธเนศ ระบุว่า ก่อนหน้านี้โรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่งได้รับการประสานงานจากหน่วยงานรัฐให้เป็นสถานที่กักตัว แต่ก็มองกันว่า ค่าหัวรายละพันแลกกับอาหาร 3 มื้อ ค่าพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าดูแลความสะอาดและอื่นๆ ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย และหากเปิดรับจะทำให้พนักงานโรงแรมเสียสิทธิ์ที่จะได้รับเงินจากประกันสังคมที่รัฐบาลช่วยเหลือในช่วงการแพระระบาดของโรคโควิด-19 โรงแรมส่วนใหญ่จึงไม่ได้เปิดรับ

อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก หรือสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยาเอง ได้ส่งรายชื่อโรงแรมที่สนใจเข้าร่วมโครงการไปกว่า 20 แห่ง ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบมาตรฐานอะไร แต่ก็พบว่ามีการนำคนไทยจากต่างแดนเข้าพักในโรงแรมหลายแห่งในเมืองพัทยา ซึ่งไม่ทราบว่ามีการตรวจมาตรฐานอย่างไร หรือไม่

หลังระเบิดลงตูม ต่างโดดหนีและเต้นกันผางๆ เรียงหน้ามาตั้งแต่กลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงว่า จากการตรวจสอบอย่างละเอียดยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพไม่มีนโยบายเรียกรับผลประโยชน์ แต่ยอมรับว่าขณะนี้มีขบวนการแอบอ้างหักหัวคิวจากผู้ประกอบการจริง และกองทัพได้พูดคุยกับสมาคมธุรกิจโรงแรมในพื้นที่ภาคตะวันออก จนทราบว่ามีนายหน้าเสนอตัวเพื่อเจรจาผลประโยชน์และเรียกรับค่าหัวคิว

พล.ท.คงชีพ ยืนยันด้วยว่า ขณะนี้กองทัพมีรายชื่อผู้ที่อยู่ในขบวนการหมดแล้ว จะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเชื่อมโยงถึงใครบ้าง แต่เบื้องต้นยืนยันว่าไม่มีคนในกองทัพเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน หรือหากผู้ใดมี ข้อมูลว่ามีคนในกองทัพ หรือกระทรวงสาธารณสุข เข้าไปเกี่ยวข้องก็ขอให้ส่งข้อมูลมาให้ ซึ่งกองทัพ พร้อมที่จะดำเนินการทางวินัยและทางอาญาต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ทางนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้เร่งดำเนินการในเรื่องนี้

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาย้ำด้วยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมาย ขบวนการแอบอ้างเรียกเก็บเงินลักษณะค่าหัวคิวตามที่มีการเสนอข่าว โดยนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. ยืนยันจะไม่ปล่อยให้มีการกระทำดังกล่าวอย่างเด็ดขาด และจะใช้กฎหมายลงโทษอย่างเข้มงวด หากพบมีผู้กระทำผิดหรือแอบอ้าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกำลังประสบกับปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ไม่ควรที่จะมีผู้ใดมาใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะในลักษณะใดก็ตาม

...เมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องติดตามกันต่อว่า เกมล่าขบวนการหักค่าหัวคิว จะสาวถึงตัวเป้งหรือไม่ อย่างไร