“ลุงตู่” บอกไม่ปรับ (ครม.) “ลุงป้อม”บอกปรับ มิ.ย. ตกลงต้องเชื่อใครแน่??

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000005747401.JPEG

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ –โกยไปเป็นกอบเป็นกำ

สำหรับ “คะแนนนิยม” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงแก้ไขวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ถือว่าคลี่คลายแล้ว และใกล้ที่จะปรับโหมดเข้าสู่ภาวะปกติในเวลาอันใกล้นี้แล้ว ทั้งในแง่การสาธารณสุข ที่ได้ “เกียรตินิยม” กับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มลดลง จนได้รับการยกย่องในระดับโลก

หรือในแง่เศรษฐกิจที่ถือว่า “สอบผ่าน” ในการเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งการวางแผนประคับประคอง ต่อเนื่องไปถึงการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจในระดับต่างๆ

สะท้อนผ่านผลการสำรวจ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณี “ความพึงพอใจต่อมาตรการต้านโควิด-19 ของรัฐบาล” ปรากฏว่า ในส่วนมาตรการรับมือโควิด-19 ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น การคุมเข้มกักตัวผู้โดยสารเดินทางเข้าไทย 14 วัน, การห้ามเครื่องบินเข้าสู่ไทยชั่วคราว, การส่งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) แต่ละพื้นที่ตรวจติดตามคนในชุมชน, การรณรงค์ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”, การตรวจหาเชื้อกลุ่มเสี่ยง, การล็อคดาวน์กรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ,การกำหนดเวลาอยู่ในเคหสถาน (เคอร์ฟิว) และทำงานที่บ้าน Work from Home

ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับ “พึงพอใจมาก” เกินกว่า 85% ทุกรายการ

ส่วนหัวข้อ “มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน” ก็ไม่น้อยหน้า ทั้งการเลื่อนชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถึง 31 สิงหาคม 2563, จ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรครัวเรือนละ 15,000 บาท, การจ่ายเงินกรณีว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 (ประกันสังคม), การลดเงินสบทบนายจ้างและผู้ประกันตน (ประกันสังคม), การให้ใช้ไฟฟ้าฟรี 150 หน่วย/ลดค่าไฟ 50%, การคืนเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้า, ร้านธงฟ้าขายหน้ากากราคา, จ่ายเงินเยียวยา 2,000 บาท (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมันคงของมนุษย์), การแจกเน็ตฟรี 10 GB ฟรี 30 วัน, การลดค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า 3% และที่สำคัญ เงินเยียวยา 5,000 บาทตามมาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน”

ต่างก็อยู่ในระดับ “ค่อนข้างน่าพอใจ” จนถึง “พึงพอใจมาก” ทั้งสิ้น


เช่นเดียวกับ “สำนักวิจัยซูเปอร์โพล” ที่เปิดเผยผลสำรวจถึงมาตรการรัฐบาลช่วงโควิด-19 ที่ประชาชนพอใจ พบ 3 อันดับแรก ได้แก่ 83.5% ระบุ มาตรการแจกเงิน รองลงมา 80.9% ระบุ และลดค่าไฟ 63.1%

ส่วนความพอใจของประชาชนต่อมาตรการต่างๆ เป็นผลงานของทีมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะที่ช่วยเหลือประชาชน หรือเป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่าส่วนใหญ่ หรือ 93.3% ระบุ เป็นผลงานของทีมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะที่ช่วยแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน

สอดคล้องกับข้อถามว่า ถ้าสมมุติประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี ว่า จะรักษาทีมคณะรัฐมนตรีนี้ไว้ หรือจะไม่รักษาทีมนี้ไว้ หลังโควิด-19 พบว่าส่วนใหญ่ หรือ 94.8% จะรักษาทีมคณะรัฐมนตรีนี้ไว้ ในขณะที่เพียง 5.2% จะไม่รักษาทีมคณะรัฐมนตรีนี้

จากความพึงพอใจมาตรการต่างๆทั้งด้านสาธารณสุข และด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับตัวเลข 94.8% ที่ระบุว่าจะรักษาทีมคณะรัฐมนตรีนี้ไว้ สะท้อนว่า ประชาชนพึงพอใจผลงานของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง


และน่าจะเป็นทำนองความรู้สึกของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ย้ำมาตลอดว่า ยังไม่เคยคิดที่จะปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความพยายามปั่นกระแส “คลื่นใต้น้ำ” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่เล็งเห็นผลให้กระทบมาถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ผ่านมา

ว่ากันว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งหนึ่งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา “นายกฯประยุทธ์” ถึงกลับโพล่งขึ้นมากลางห้องประชุมถึงกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรีว่า “ไม่มีการปรับ ครม.ใดๆ ทั้งสิ้น ผมคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ ไม่ต้องต่อรอง ไม่ต้องเจรจา ผมเป็นนายกฯ ผมทำคนเดียว”

คล้ายกับเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายหยุดความเคลื่อนไหว เนื่องจากในช่วงนั้นมีกระแสว่า บางกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐ พยายามผลักดันให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคแทนที่ของ อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญในกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดด้วย

หลังส่งสัญญาณกลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ยังดูเหมือนว่า “บิ๊กตู่” จะเรียกตัว “อุตตม” เข้าพบนอกรอบ โดยระบุว่าเพื่อสั่งการและมอบหมายภารกิจเกี่ยวกับโควิด-19 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บ่อยครั้ง

เป็น “สัญญาณ” ที่ในทางการเมือง ตีความได้ว่า “ท่านผู้นำ” ยังหนุน “อุตตม” เต็มที่

ส่งผลให้ “แก๊งแซะ” ภายในพรรคพลังประชารัฐ เริ่ม “รามือ” ไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวแรงๆ เหมือนช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ถึงขั้นปล่อยข่าวว่า ล่ารายชื่อกรรมการบริหารพรรคให้ลาออกได้เกินกึ่งหนึ่ง เพื่อกดดันให้ “อุตตม” ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค

และเป็นที่สังเกตช่วง 1-2 สัปดาห์นี้เอง ภายในพรรคพลังประชารัฐเอง ก็ “เริ่มนิ่ง” ไม่มีความเคลื่อนไหวในประเด็นเปลี่ยนหัวน้าพรรค หรือเลขาธิการพรรค ของ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ที่รัฐสภา “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการบริหารพรรค และแกนนำคนสำคัญคนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ ก็ย้ำอีกครั้งว่า ปัญหาความวุ่นวายในพรรค โดยเฉพาะการเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ตอนนี้ไม่มีอะไร น่าจะได้ข้อยุติแล้ว ทั้งเรื่องตำแหน่งต่างๆ รวมถึงการประชุมใหญ่สามัญพรรคที่จะมีการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค ก็คงต้องรอผู้ใหญ่ตัดสิน

“เรื่องนี้จะให้ ส.ส.ไปคุยกันเองคงไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แม้แต่ผมก็เป็นเด็กที่จะไปพูดอะไรคงไม่ได้ ต้องให้ผู้ใหญ่ในพรรคตัดสินใจ” คือคำยืนยันของ “ผู้กองมนัส” ที่ถูกระบุว่า มี ส.ส.อยู่ในความดูแลหลายสิบชีวิต และเป็นสายหนึ่งที่ยังให้การสนับสนุน “อุตตม-สนธิรัตน์” อยู่

จนดูเหมือน “ประกาศิต” ของ “นายกฯ ตู่” ที่สั่งให้ทุกกลุ่มหยุดความเคลื่อนไหว จะได้ผลชะงัก

อาจเป็นเพราะถูกจับได้ไล่ทันแล้วว่า “กลุ่มป่วน” ในพรรคพลังประชารัฐ นอกจากเล็งเห็นผลไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ยังจำนนด้วยหลักฐานว่า จ้องเข้ามา “หาประโยชน์” จากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ปัญหา เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะงบประมาณฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท

จึงพยายามล็อกเป้าถล่มไปที่ “อุตตม” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้ง “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19

เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน ทำเอา “แก๊งแซะ” ไม่กล้าออกลวดลายโฉ่งฉ่างเหมือนที่ผ่านมามาก

แต่ตามประสา “คลื่นใต้น้ำ” ที่ผิวเผินอาจดูนิ่งๆ แต่ลึกๆ แล้วก็ยังขยับกันรุนแรง เพียงแต่อาจจะต้องรัดกุมกว่าเดิม เพราะไม่อยากถูกเพ่งเล็งจาก “ผู้ใหญ่”
ไม่เพียงแค่ความทะเยอทะยานอยากเป็นรัฐมนตรี หรือ “เค้ก 4 แสนล้านบาท” ที่ดูหอมหวานแล้ว ยังมี “ปัจจัยเร่ง” เป็นคดีของคีย์แมนคนสำคัญของ “แก๊งแซะ” อย่าง “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ในคดีทุจริตจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอล ใน จ.นครราชสีมา ค้างคาอยู่ในชั้นอัยการด้วย

ล่าสุด วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เพิ่งออกมาเปิดเผยความคืบหน้าคดีของ “วิรัช” ว่า สำนวนคดีนี้ ยังอยู่ระหว่างคณะทำงานอัยการที่ตั้งขึ้นมารับชอบพิจารณา ยังไม่ส่งมาถึงตนเอง ยืนยันว่า คดีนี้ยังไม่ขาดอายุความ ที่จะยื่นฟ้องต่อศาลแน่นอน โดยอายุความตามกฎหมาย ป.ป.ช. เป็นเพียงหลักการเงื่อนไขการขั้นตอนทำงานเท่านั้นว่า ควรต้องทำให้เสร็จภายในกี่วัน แต่ถ้าไม่ทันกำหนดก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีอายุความ ถ้าอายุความใหญ่ 20 ปี ก็ต้องนับอายุความตามนี้ คดีนี้เป็นคดีใหญ่ มีข้อเท็จจริงมากมายและซับซ้อน เมื่อไม่นานมานี้ ก็เพิ่งได้รับสำนวนเพิ่มเติมอีก 6-7 สำนวน จึงต้องใช้เวลาพิจารณาด้วยความรอบคอบ ยืนยันว่าคดีนี้ไม่ขาดอายุความแน่นอน หากหลักฐานเพียงพอสามารถพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาลได้

แม้ไม่ระบุ วัน ว. เวลา น. ที่แน่ชัดว่า อัยการจะสั่งฟ้องได้เมื่อไร แต่ก็เป็น “ตัวเร่ง” ให้ “แก๊งแซะ” ที่มี “วิรัช” ร่วมเป็นหัวหอกถึงกับ “อยู่ไม่สุข” และต้องรีบชิงการนำในพรรค เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง หวังว่าจะทำให้จากหนักเป็นเบาได้

กระนั้นก็ดี ในช่วงเปิดสภาเพื่ออภิปราย พ.ร.ก.เงินกู้ เกม “ปล่อยข่าว” ก็ดังหนาหูขึ้นมาเป็นลำดับ โดยมีข้อมูลเล็ดลอดออกมาดังๆ ว่า ได้เริ่มแจ้ง ส.ส.ภายในพรรคว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ จะมีการนัดประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค และตามมาด้วยการปรับคณะรัฐมนตรี โดย “อ้าง” ว่า “บิ๊กป้อม-ประวิตร” เป็นคนสั่งการด้วยตัวเอง

ทั้งที่ “บิ๊กตู่” ที่ถืออำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรีก็พูดชัดว่า ยังไม่คิดเรื่องการปรับเปลี่ยนใดๆ เหมือน “ลิ่วล้อ” ไม่สนผลลัพธ์ว่า จะถูกมองว่า “บิ๊กป้อม” ขัดแนวทาง “บิ๊กตู่” และมีอำนาจเหนือกว่านายกฯ

ทำนองเดียวกับที่พยายามปล่อยข่าวว่า “ทีมสมคิด” จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ “สร้างไทย” เพื่อให้เกิด “ความหวาดระแวง”

เพราะหลังจะโหมกระแสว่า “บิ๊กป้อม” จะลงมาเป็นหัวหน้าพรรคด้วยตัวเอง ถูกตีความ “ไปไกล” ถึงขนาดว่า เป้าหมายของ “บิ๊กป้อม” ไม่น่าหยุดแค่หัวหน้าพรรค แต่เล็งไปถึงเป็นตัวตายตัวแทน “น้องตู่” ในตำแหน่งผู้นำประเทศเลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า “ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้” เสียแล้ว เพราะทำไปทำมาทำท่าจะไม่ได้แค่ปล่อย หากแต่กำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง กล่าวคือสำหรับเรื่องเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” นั้น “บิ๊กป้อม” ให้สัมภาษณ์พิเศษเอาไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำผ่านสื่อเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า “เป็นเรื่องของพรรค ในส่วนของผมก็ต้องดูก่อน ยังขอไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ ทั้งนี้หลังจากที่ผมมาทำหน้าที่เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค ส.ส.ของพรรคก็พอใจ เพราะเรารู้จักกันมาตั้งแต่ตอนมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค และผมก็พอใจบทบาทของ ส.ส.ในพรรคเป็นอย่างมากในการทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน สนับสนุนประชาชนให้มีงานทำ โดยทุกคนเมื่อลงพื้นที่กลับมาก็ทำรายงานมาส่ง ส่วนที่อยากให้ผมไปช่วยคุมนั้น ก็ต้องแล้วแต่ทางพรรคเขา ไม่ต้องห่วงเรื่องในพรรค สบายมาก...ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เคยถามว่าอยากเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่”

แถม “บิ๊กป้อม” ยังตอกย้ำความสัมพันธ์กับ “น้องตู่” ด้วยว่า “เรื่องที่ลือกันว่าผมกับนายกรัฐมนตรีชอบงอนกันก็ไม่จริง เราคุยกันทุกวัน”

แปลความหมายได้ว่า ตำแหน่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคของ “บิ๊กป้อม” มีโอกาสเป็นไปได้สูงยิ่ง ถ้าใช้ศัพท์การเมืองก็ต้องบอกว่า “แบะท่า” รับอย่างที่ไม่อาจมองเป็นอื่นได้

ส่วนเรื่อง “ปรับ ครม.” พล.อ.ประวิตรก็ประกาศเอาไว้แจ่มชัดเช่นกันว่า “มีแน่นอน แต่จะเมื่อไหร่ ต้องรอให้ประเทศไทยคุมโควิด-19 ได้จนไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่”

และแปลไทยเป็นไทยจากคำให้สัมภาษณ์ของ “บิ๊กป้อม” ได้อีกเช่นกันว่า ผู้มากบารมีในพรรคพลังประชารัฐและผู้มากบารมีในรัฐบาลคนนี้ปักหมุดเอาไว้แล้วว่า “ปรับร้อยเปอร์เซ็นต์”

ดังนั้น คงต้องติดตามเกมการเมืองในพรรคพลังประชารัฐและรัฐบาลว่า จะพลิกไปในรูปแบบใด และจะเริ่มลงมือปฏิบัติการจริงๆ ตามที่ “บิ๊กป้อม” ลั่นวาจาไว้เมื่อไหร่

ที่สำคัญคือ ต้องรอดูท่าทีจาก “ลุงตู่” ในฐานะหัวเรือใหญ่และ “ผู้มีอำนาจ” ว่าจะตัดสินใจอย่างไร “ได้คุ้มเสีย” หรือไม่ เพราะแน่นอนว่า ผลที่ออกมาย่อมกระทบกับรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะทำไปทำมาผลงานที่รัฐบาลสร้างมาดีๆ จนผลสำรวจความพึงพอใจทะลุ 90% อาจไร้ค่าไปในทันที หากมีบรรดา “คลื่นใต้น้ำ” คิดแต่ประโยชน์ตัวเอง จาก “พวกวอนนาบี” กระสันอยากเป็นรัฐมนตรี ที่จับมือกับ “แก๊งเสือหิว” คิดจะเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ หรือใครบางคนที่คดีความจ่อคอหอย แล้วทำให้เสียเรื่อง

โดยเฉพาะการเข็น “พี่ป้อม” ให้ออกมาชน “น้องตู่” โดยตรง