ทวิตเตอร์เซ็นเซอร์ข้อความทรัมป์ "กระตุ้นความรุนแรง"
สถานการณ์ประท้วงจากชนวนเหตุตำรวจผิวขาวฆ่าชายผิวสี ที่เมืองมินนีแอโพลิสของสหรัฐ ยังไม่มีท่าทีจะคลี่คลาย ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ 1 ใน 2 ข้อความถูกเซ็นเซอร์ "เพราะส่งเสริมความรุนแรง"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 พ.ค.เกี่ยวกับสถานการณ์ประท้วงที่เมืองมินนีแอโพลิส ในรัฐมินนิโซตา ซึ่งทวีความรุนแรงตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ หลังปรากฏคลิปบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ว่าเจ้าหน้าที่เดเร็ก ชอวิน ตำรวจผิวขาวซึ่งตอนนี้ถูกไล่ออกจากราชการแล้ว พร้อมเพื่อนเจ้าหน้าที่อีก 3 นาย ทำการจับกุมชายผิวสี คือนายจอร์จ ฟลอยด์ อายุ 46 ปี โดยใช้หัวเข่ากดไปที่คอของอีกฝ่ายซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นถนน และเป็นเหตุให้ฟลอยด์เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความ 2 ครั้งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อคืนวันพฤหัสบดี โดยการทวีตครั้งหนึ่งมีใจความว่า เขาไม่สามารถอดทนเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองอันยิ่งใหญ่ของอเมริกาอย่างเมืองมินนีแอโพลิสได้ สถานการณ์ดังกล่าวบ่งชี้การขาดภาวะผู้นำอย่างชัดเจน นายจาค็อบ เฟรย์ นายกดเทศมนตรีเมืองมินีแอโพลิส "ซึ่งเป็นพวกซ้ายจัดสุดโต่งแต่อ่อนแอยิ่งนัก" ต้องหาทางควบคุมสถานการณ์ให้ได้ หรือมิเช่นนั้นเขาจะส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าไปจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม นายทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ใช้อำนาจพิเศษด้านความมั่นคงระดับผู้ว่าการรัฐ สั่งระดมกองกำลังพิทักษ์มาตภูมิลงพื้นที่เมืองมินนีแอโพลิสและเมืองใกล้เคียงแล้ว เบื้องต้นมีรายงานอาจมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มากกว่า 500 นาย ด้านผู้นำสหรัฐกล่าวด้วยว่าเขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับวอลซ์ ให้กำลังใจอีกฝ่ายว่า กองทัพอยู่เคียงข้างทางการรัฐมินนิโซตาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ยุ่งยากแค่ไหน แต่เจ้าหน้าที่จะควบคุมได้ในที่สุด "แต่หากมีการปล้นสะดม กระสุนปืนจะดังขึ้นเช่นกัน"
ทั้งนี้ ทรัมป์ไม่ได้ขยายความประโยคสุดท้าย ที่สื่อถึงกลุ่มผู้ประท้วงว่าเป็น "อันธพาล" ซึ่ง "สร้างความเสื่อมเสีย" ให้กับผู้เสียชีวิต แต่ทวิตเตอร์ได้เซ็นเซอร์การทวีตดังกล่าว พร้อมแถบข้อความเตือนว่า การทวีตนี้ละเมิดกฎของทวิตเตอร์ เนื่องจากมีเนื้อหา "เชิดชูความรุนแรง" อย่างไรก็ดี ทวิตเตอร์เห็นควรให้การทวีตนี้ยังสามารถเข้าถึงได้ต่อไป เนื่องจากอาจยังเป็นที่สนใจของประชาชน
อนึ่ง การดำเนินการของทวิตเตอร์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังผู้นำสหรัฐลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการยกเลิก "เอกสิทธิ์คุ้มครอง" บริษัทด้านโซเชียลมีเดีย ที่ในอดีตไม่ต้องรับร่วมผิดชอบทางกฎหมายกับผู้ใช้งานที่ถูกดำเนินคดีจากการเผยแพร่ข้อมูลบนแพลตฟอร์ม.
เครดิตภาพ : REUTERS, AP