''Snowpiercer'' ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง
"ดูหนังกับหมี" สัปดาห์นี้ รีวิวภาพยนตร์ซีรีย์แอ๊คชั่นไซไฟสุดมัน "Snowpiercer ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง" เรื่องราวของรถไฟขบวนยักษ์ 1,001 ตู้ ที่ต้องวิ่งรอบโลกอย่างไม่มีวันจบสิ้น ขณะที่โลกทั้งใบกลายเป็นดินแดนเยือกแข็ง
ด้วยความคลาสสิคของ CG มุมกล้อง บทหนัง ประกอบกับตัวละครที่แสดงบทบาทได้อย่างเข้มข้น แอ๊คชั่น-ดราม่าชีวิต ทั้งยังให้แง่คิดมุดมองต่าง ๆ จึงไม่น่าแปลกใจว่า "SNOWPIERCER ยึดด่วน วันสิ้นโลก" ฝีมือผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทชาวเกาหลีใต้ อย่าง "พง จุน-โฮ" ที่ประสบความสำเร็จจาก "พาราไซต์: ชนชั้นปรสิต" จะกลายเป็นหนังชวนให้ผู้ชมดูแล้ว...อยากกลับไปดูอีก!!! ล่าสุดได้ถูกนำมารีเมคใหม่ในแบบฉบับของ "ซีรีย์" โดยใช้ชื่อว่า "Snowpiercer ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง" ทางช่อง
NETFLIX
"SNOWPIERCER ยึดด่วน วันสิ้นโลก" (ภาพยนตร์ปกติ) เท่าที่ "ดูหนังกับหมี" เคยผ่านตามาแล้วนั้น ต้องยอมรับว่า "พง จุน-โฮ" มีความคิดที่ละเอียดรอบด้าน สามารถทำหนังแอ๊คชั่นดราม่า ให้สะท้อนมุมมองสังคมปัจจุบัน เน้นหนักในเรื่องแนวคิด "ทุนนิยม" ที่ดูแลชีวิตของผู้คนไว้มากมาย
ขณะที่งานศิลป์ของการถ่ายทำนั้น สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะถ้าสังเกตให้ดีแล้ว การตีความหมายของการไปให้สุดทาง ก็คือการเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ โดยผู้กำกับชื่อดังเลือกที่จะใช้ทิศทางของ "ซ้ายไปขวา" ไม่คิดย้อนเดินกลับมาทางเก่า และเมื่อไปถึงสุดทางก็จะให้มองกลับมาในระหว่างทางอีกที เพราะประสบการณ์ที่พบเจอ ล้วนมีความหมายมากมายนั่นเอง
แต่สำหรับ "Snowpiercer ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง" ที่กำลังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงหนัง และกลายเป็นภาพยนตร์ซีรีย์คุณภาพติดอันดับ 1 ใน NETFLIX อาจถูกเปรียบได้เหมือนกับ..."เหล้าใหม่ ในขวดแก้วใบเดิม ๆ..." ผลิตออกมาให้แตกต่างกันทั้งในด้านรสชาติ แต่เมื่อลิ้มลองแล้วยังให้ความรู้สึกเหมือนกันหลาย ๆ ด้าน
อย่างเช่น การทำให้ตู้ท้ายของขบวน คงไว้ซึ่ง "ความดาร์ก" เงามืด การตรึงอารมณ์ของผู้ชม....ให้เกิดอารมณ์หดหู่ ปล่อยหนูสกปรกออกมาวิ่งราวกับอาศัยในขยะ ขณะที่ฝั่งผู้มีฐานะอาศัยในพื้นที่ สะอาด มีแต่สิ่งดีงาม เครื่องตกแต่งหรูหรา จัดโทนสว่างเพื่อให้เกิดความหมายของคำว่า "ชนชั้นวรรณะ"
เรื่องย่อ "Snowpiercer ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง"
เมื่อนานาชาติ พยายามหยุดยั้งปรากฏการณ์ธรรมชาติโลกร้อนอย่างรุนแรง ด้วยการปล่อยสารเคมีขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ผลที่ได้กลับมา คือ ทำให้โลกกลายเป็น"ยุคน้ำแข็งใหม่" สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเตรียมรับมือกับหายนะนี้เลย "มิสเตอร์ วีฟอร์ด" ได้สร้างขบวนรถถไฟขนาดยักษ์ "Snowpiercer" ที่มีตู้โดยสารมากถึง 1,001 ตู้ บรรจุเหล่าสัตว์ พืช และมนุษย์ ขึ้นไปด้วยกัน รถไฟขบวนนี้จะวิ่งไปตามเส้นทางต่าง ๆ ทั่วโลก โดยไม่มีการหยุดพัก มันสร้างกระแสไฟด้วยแรงขับเคลื่อนของตัวเอง มีระบบทรัพยากรอาหารในตู้ครบครัน
รถไฟขบวนนี้ไม่ใช่แค่เพียงรถไฟไว้ใช้หลบภัย แต่มันคือโลกอีกโลกหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ มีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในตู้ขบวน ใครที่ไม่มีตั๋วรถไฟ ก็จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นมาอาศัย ซึ่งคนที่มีตั๋วส่วนใหญ่เป็นพวกฐานะร่ำรวย แต่เพราะวันเริ่มออกเดินทางเกิดการจราจลขึ้น ผู้คนมากมายพยายามบุกขึ้นมาอาศัยในท้ายขบวน เพียงเพราะหวังจะมีชีวิตรอด
เจ้าหน้าที่ในขบวนยอมปล่อยเลยตามเลย ก่อนส่งกำลังทหารไปปิดท้ายตู้ แน่นอนว่า...กลุ่มท้ายตู้ต้องอยู่แบบ "อนาถา" กินของเหลือทิ้งจากผู้คนในขบวน ถูกปิดกั้นสิทธิต่าง ๆ และยังเกิดลัทธิกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง !!! การเข้ามาอาศัยในท้ายตู้ ก็ไม่ต่างอะไรกับติดคุกนรก ด้วยความคับแค้นใจที่สะสมเรื่อยมา จึงกลายเป็นจุดเริ่มของ "กลุ่มต่อต้านจากท้ายขบวน" ที่ต้องการยึดรถไฟให้ได้....
สำหรับเนื้อเรื่องของ "Snowpiercer" ในซีรีย์นั้นมีความแตกต่างในด้านเวลา เพราะเป็นเหตุการณ์หลังจากรถไฟออกเดินทางมาแล้ว 7 ปี ขณะที่ "Snowpiercer" (ภาพยนตร์ปกติ) จะเป็นช่วงที่รถเดินทางมายาวนานกว่า 17 ปี แล้ว ดังนั้น....เรื่องในซีรีย์จึงต้องเกิดขึ้นมาก่อน หากอยู่ในจักรวาลเดียวกัน "Snowpiercer" ในซีรีย์ มีการเล่าผ่านตัวละครที่ชื่อ "เลตั้น"อดีตตำรวจสืบสวนมือดี ที่กลายเป็นพวก "หางแถว" หนึ่งในหัวหอกของพวกปฏิวัติ แต่เพราะเขาต้องโดนลากไปพัวพันกับเรื่องต่าง ๆ อย่างไม่คาดฝัน....
จุดเด่นของ "Snowpiercer" แบบฉบับซีรีย์
ด้วยเนื้อเรื่องที่ยาวกว่า มีเวลาเล่าถึงรายละเอียดได้มากกว่า จึงได้เห็นความแตกต่างกับภาพยนตร์แทบทุกด้าน แนวทางเรื่องในหนังซีรีย์ไม่ใช่แค่พยายามยึดขบวนรถไฟ แต่กลับต้องคลี่คลายปริศนาด้วยการสืบสวน นอกจากนี้ยังมีการโชว์ ซีนบรรยากาศของตู้ต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่เกษตรกรรม ทำฟาร์มปศุสัตว์แบบเต็มระบบ การโชว์สถานที่พักผ่อนหย่อนใจต่าง ๆ ทำให้เกิดภาพที่กว้างขึ้น ชวนให้ผู้ชมสนใจอยากติดตามไปดูตู้อื่น ๆ เรื่อย ๆ ในส่วนของมุมกล้องและ CG ระดับคุณภาพ NETFLIX สามารถทำได้ออกมาอย่างสวยงามโดยไร้ข้อกังขา
จุดอ่อนของ "Snowpiercer" แบบฉบับซีรีย์
"Snowpiercer" เพิ่งเสนอไปเพียง 2 ตอนแรก ซึ่งก็จะพอเข้าใจได้ว่าเป็นการทำให้เกิดมิติของเวลาในภาพยนตร์ซีรีย์ ด้วยการปูเรื่องของตัวละครสำคัญเอาไว้ก่อน แต่หากใช้เวลานานก็ย่อมทำให้รู้สึกยืดเยื้อได้ ตัวเรื่องพยายามยัดเยียดบทของตัวเอกที่เป็นอดีตตำรวจฝ่ายสืบสวนค่อนข้างมาก "เลย์ตัน" (รับบทโดย เดฟวีด ดิกส์) ต้องเข้าไปสางคดีแปลก ๆ ในตู้ขบวน ราวกับเป็นสายลับเข้าไปสืบราชการ ผลปรากฏว่าไม่โดดเด่น!! เท่ากับบทของ "เมลานี" (รับบทโดยเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี) ที่มาทำงานให้ "คุณวิลฟอร์ด" ตั้งแต่ตอนแรก
4
/5 สำหรับภาพยนตร์ซีรีย์แนวแอ๊คชั่นสืบสวน ที่พยายามสร้างความน่าสนใจใหม่ ๆ ที่แยกจากเนื้อเรื่องเดิม ๆ เพิ่มเติม คือ ชวนคอหนังแนวสืบสวนมานั่งดูได้มากขึ้น
------------------------------------
คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย "แพนด้าอ้วน"
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก เว็บไซต์ ยูทูป และ NETFLIX
ร่วมสนับสนุนความสนุกในการชมภาพยนตร์โดย SF