‘หุ้นไทย’ ไตรมาสแรก 2563 ท่ามกลางวิกฤติที่ยังไม่รู้จุดจบ!
by InveStoryสรุปผลงาน ‘หุ้นไทย’ ไตรมาสแรก 2563 ท่ามกลางวิกฤติที่ยังไม่รู้จุดจบ พบกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กระทบหนักที่สุด เม็ดเงินโฆษณาหายไปเห็นชัด
ประกาศออกมาครบถ้วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2563 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่หนักหนาทีเดียวของทุกกลุ่มธุรกิจ ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ในช่วง 3 เดือนดังกล่าว ภาคธุรกิจยังได้รับผลกระทบเต็มๆ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (COVID-19) รวมถึงมาตรการ Lockdown ประเทศ ที่ทำให้การประกอบธุรกิจเป็นได้อย่างยากลำบากพอสมควร
จึงได้สรุปข้อมูลผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งใน SET มาฝาก รวมถึงทิศทางในอนาคต เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนหลังจากนี้กัน
กำไรไตรมาสแรก หายไปกว่าแสนล้าน
ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ SCB Securities ได้รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/63 ของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่ามีกำไรรวมกันอยู่ที่ 1.09 แสนล้านบาท ลดลง 1.56 แสนล้านบาท หรือ 59.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
เมื่อมองไปที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด นั่นก็คือ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA) เนื่องจากเม็ดเงินโฆษณาที่หายไปอย่างเห็นได้ชัด และทิศทางการเติบโตของธุรกิจที่ยังคงยากลำบากมาต่อเนื่องหลายปีแล้ว
สรุป 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรลดลงมากที่สุด
แต่ทั้งนี้ทัั้งนั้นก็มีบางกลุ่มที่ยังสามารถทำผลงานเติบโตได้ อาทิ กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร (IMM) ที่กำไรเพิ่มขึ้นถึง 1,633% รวมถึงบางกลุ่มที่พลิกจากขาดทุนเมื่อปีก่อน และกลับมามีกำไรในปีนี้ได้ เช่น กลุ่มเกษตร และกลุ่มกระดาษ เป็นต้น แต่ทั้งนี้จะเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีน้ำหนักต่อภาพรวมตลาดเท่าไหร่นัก
ทิศทางการลงทุนต่อจากนี้
บทวิเคราะห์จาก TISCO Advisory ประเมินเบื้องต้นว่า ตลาดจะเริ่มมีการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนทั้งปี 2563 ลงประมาณ 5.2% และมีโอกาสปรับมูลค่าที่เหมาะสมของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ลงด้วย จากผลงานไตรมาสแรกที่น่าผิดหวัง ทั้งนี้ ทิสโก้ให้กรอบการลงทุนของ SET Index อยู่ที่ 1,270-1,330 จุด โดยใช้กลยุทธ์ “ลงซื้อ-ขึ้นขาย”
สำหรับปัจจัยที่ควรจับตามองในระยะสั้นนี้ ได้แก่ การผ่อนปรนมาตการ Lockdown ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO, CRC, GLOBAL, DOHOME และกลุ่มขนส่งมวลชนอย่าง BEM และ BTS นอกจากนั้น ยังมีอีกประเด็นที่ห้ามมองข้าง คือ การประกาศหุ้นที่จะเข้า SET50/SET100 รอบใหม่ในเดือนมิถุนายนนี้นั่นเอง
ถ้าถามในมุมมองส่วนตัวแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทย (รวมถึงหุ้นทั่วโลก) ในเวลานี้อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาอยู่ระดับเดิมได้ เพราะเมื่อมองในแง่พื้นฐานก็ต้องบอกว่าย่ำแย่ ทั้งจากปัญหาสภาพคล่อง ภาระหนี้สิน และเศรษฐกิจที่ยังพังอยู่แบบนี้ คงต้องรอเวลาฟื้นฟูอีกสักระยะเลย
ขณะเดียวกันยังมีประเด็นเรื่องของกลุ่มกองทุนต่างๆ ซึ่ง ณ เวลานี้ ผู้บริหารกองทุนจำนวนมากเลือกวางเงินที่วางเงินในสินทรัพย์ปลอดภัย มากกว่าจะวางในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นที่มีปัญหาผลตอบแทนติดลบทั่วโลก ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่ตลาดหุ้นจะกลับมาวิ่งได้แบบในอดีต
อย่างไรก็ดี แม้ครั้งนี้จะเป็นวิกฤตที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบหลายปี และนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่ยังไม่รู้จะจบลงตรงไหน แต่โดยหลักการผมก็เชื่อว่าทุกๆ วิกฤตมักจะมาซึ่งโอกาสเสมอ เพียงแต่การจะมองเห็นโอกาสนั้น ต้องเกิดจากความรู้และข้อมูลที่พร้อมนั่นเอง