โลก...ที่ต้องเลือกข้าง???

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000005685701.JPEG
แลร์รี่ คัดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ประจำทำเนียบขาว

ไม่ว่า “สงครามเย็นรอบใหม่” หรือ “สงครามโลกแบบสโลว์โมชั่น” อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่าง 2 อภิมหาอำนาจระดับโลก อย่างคุณพี่จีนและคุณพ่ออเมริกา จะอุบัติขึ้นมาจริงๆ หรือไม่? มีความเป็นไปได้มากหรือน้อยขนาดไหน? รวมทั้งจะส่งผลให้โลกทั้งโลกเป็นไปในรูปไหน อย่างไร? สำหรับประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ย่อมหนีไม่พ้นต้องให้ความสนใจให้มากๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะถ้าหากไม่ต้องการที่จะมีสถานะเป็นเพียงแค่ “หญ้าแพรก” ภายใต้ฝ่าตีนของช้างทั้ง 2 ช้าง ที่ต่างกำลังออกอาการ “ตกมัน” ไปด้วยกันทั้งคู่...

คืออย่างหัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจ หรือผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ประจำทำเนียบขาว “นายแลร์รี่ คัดโลว์” (Larry Kudlow) ผู้มีสถานะเป็นตัวแทนรายสำคัญในการเจรจาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและอเมริกามาโดยตลอด ได้ออกมา “ส่งสัญญาณ” ไว้แบบชัดแจ้งแดงแจ๋ เมื่อช่วงวันอังคาร (26 พ.ค.) ที่ผ่านมา ว่าการเจรจาทางการค้ารอบ 2 ระหว่างอเมริกากับจีน ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า ไม่ใช่ “วาระเร่งด่วน” อีกต่อไปแล้ว!!! ด้วยเหตุเพราะความฉุนฉิวกริ้วโกรธของผู้นำอเมริกาที่มีต่อจีน ในเรื่องผลกระทบจากเชื้อไวรัส “COVID-19” นั้น ออกจะหนักหน่วงรุนแรงเอามากๆ และยิ่งเมื่อจีนได้คิดทำในสิ่งที่ที่ปรึกษารายนี้ ถือว่าเป็น “ความผิดพลาดครั้งใหญ่” นั่นคือความพยายามออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ เพื่อควบคุมสถานการณ์การเมือง การประท้วง ภายในเกาะฮ่องกง แนวโน้มที่จะนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ในแบบ “ช้างชนช้าง” ระหว่างอเมริกาและจีน จึงกลายเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

และนั่นเอง...ที่ทำให้ “วาระเร่งด่วน” ในทางเศรษฐกิจ การค้าของอเมริกัน ตามทัศนะแนวคิดของ “นายแลร์รี่ คัดโลว์” ก็คือการหาทางทำให้บรรดาบริษัทธุรกิจอเมริกันทั้งหลาย ที่ไปลงทุนประกอบธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ หรือไปสร้าง “ห่วงโซ่อุปทาน” ในเมืองจีน รวมทั้งในเกาะฮ่องกง ให้หันมาย้ายฐานการผลิต หรือถอนตัวจากการลงทุนในจีน โดยจะย้ายกลับไปที่อเมริกา ซึ่งรัฐบาลพร้อมแล้วที่จะให้การสนับสนุนในด้านเงินๆทองๆ และอำนวยความสะดวกในแต่ละด้าน หรือไม่ก็ย้ายไปยังบรรดาประเทศที่พร้อมจะผนึกกำลังกับอเมริกา เพื่อร่วมมือกันสร้างสิ่งที่เรียกว่า “เครือข่ายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” หรือ “Economic Prosperity Network” เอาไว้ “เตะตัดขา” หรือเอาไว้เล่นงานจีนกันโดยเฉพาะ ก็ย่อมได้...

แน่ล่ะว่า...การไสช้างออกมาในแนวนี้ของคุณพ่ออเมริกา ย่อมก่อให้เกิด “ผลเสีย” และ “ผลได้” ต่อบรรดาหญ้าแพรก หญ้าแฝก หรือต่อบรรดาประเทศที่อยู่รายรอบศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งในลักษณะเช่นนี้ มากบ้าง น้อยบ้าง ไปตามสภาพ ไม่ว่าประเทศอย่างอินตะระเดีย ที่อาจชั่งน้ำหนักถึง “ผลได้” ว่ามากกว่า “ผลเสีย” โดยเฉพาะเมื่อมีอันต้องเจอกับการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาด ของเชื้อไวรัส “COVID-19” จนกรอบเป็นข้าวเกรียบไปทั้งประเทศ แถมยังต้องเจอกับโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น หรือเจอกับ “ฝูงตั๊กแตน” ที่แพร่ระบาด เล่นงานเกษตรกรชาวอินเดีย ไม่ว่าในแคว้นคุชราต ราชสถาน ปัญจาบ อุตตรประเทศ ฯลฯ จนสิ้นเนื้อประดาตัวกันไปเป็นแถบๆ การหันมาเห็นดี เห็นงามกับการสร้าง “เครือข่ายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” ตามการยุยงส่งเสริมของอเมริกา ด้วยการยื้อยุด ฉุดดึง บริษัทธุรกิจอเมริกันในจีน ให้ถอนตัว หรือย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในอินเดียกันแทนที่ โดยถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของ “Economic Times” ว่ากันว่า...บริษัทธุรกิจอเมริกันที่ตัดสินใจย้ายฐาน ย้ายห่วงโซ่อุปทานจากจีนมายังอินตะระเดีย น่าจะไม่น้อยไปกว่า 1,000 บริษัทเข้าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์บริษัทด้านอาหาร เสื้อผ้า บริษัทฟอกหนังและผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ฯลฯ โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐต่างๆ ในอินเดีย ไม่ว่าอุตตรประเทศ คุชราต มัธยมประเทศ ฯลฯ พร้อมใจกันแก้กฎหมายแรงงาน ยกเว้นไม่ให้มีการจัดตั้งสหภาพแรงงาน หรือเปิดโอกาสให้บริษัทธุรกิจต่างๆ สามารถจ้างแรงงานจาก 8 ชั่วโมง เป็น 12 ชั่วโมงต่อวัน ฯลฯ เป็นต้น...

ส่วน “ผลเสีย” นั้น...ก็คือบรรยากาศความตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่างจีน-อินเดียความยาวกว่า 4,000 กิโลเมตร ที่ต้องร้อนฉ่า ร้อนแรงตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ หรือต้องทำให้เกิดการเสริมกำลังทหารอินเดียตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะในรัฐสิกขิม ที่เพิ่งเกิดการปะทะเล็กๆ น้อยๆ ไปแบบสดๆ-ร้อนๆ แต่อะไรจะมีน้ำหนักมากไปกว่ากันระหว่าง “ผลเสีย” กับ “ผลได้” คงต้องหันไปถาม “พระนารายณ์” หรือนาร้าย...นารายณ์ กันเอาเองก็แล้วกัน...

เช่นเดียวกับประเทศ “ผู้ช่วยนายอำเภอ” อย่างออสเตรเลีย ที่ต้องหันมาชั่งน้ำหนัก “ผลเสีย-ผลได้” กันชนิดตราชั่งแทบชำรุด เพราะเพียงแค่การออกมาเล่นบทผู้ช่วยนายอำเภอ อย่างไม่คำนึงถึงกาละ เทศะ หรือออกมาขานรับการกล่าวโทษประเทศจีนว่าเป็นต้นเหตุ สาเหตุแห่งการแพร่ระบาดเชื้อ “COVID-19” ไปทั่วทั้งโลก ตามคำกล่าวหาของนายอำเภออย่างอเมริกา ก็เลยเป็นอันต้องเจอกับการขึ้นภาษีนำเข้าข้าวบาร์เลย์ไปยังประเทศจีน เจอกับการห้ามนำเข้าเนื้อสัตว์จากโรงงานฆ่าสัตว์ 4 โรงใหญ่ๆ ในออสเตรเลีย รวมทั้งความเข้มงวดในการนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลียไปยังประเทศจีน ฯลฯ แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากยังคิดไปอี๋ๆ อ๋อๆ กับประเทศจีน เช่นการปล่อยให้รัฐวิกตอเรียประกาศให้ความร่วมมือกับอภิมหาโครงการ “Belt and Road” ของจีน อาจต้องเจอกับฝ่าตีนของช้างอเมริกัน ที่ประกาศว่ารัฐบาลอเมริกันกำลังเตรียมยกเลิกโครงการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน F-35 กับออสเตรเลีย อันอาจส่งผลให้การจ้างงานนับพันๆ ตำแหน่งในออสเตรเลีย หายวับไปกับตาเอาดื้อๆ...

ส่วนประเทศพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล แม้ว่าจะไม่เอาด้วย ไม่เล่นด้วย กับการหันไปเล่นงานองค์กรระหว่างประเทศอย่าง “WHO” ในข้อหา “อวยจีน” ตามแนวทางของคุณพ่ออเมริกาก็ตาม แต่ภายใต้ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทแน่น และหนีไม่พ้นต้องพึ่งพา “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” มาโดยตลอด โดยเฉพาะเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคงปีละไม่รู้กี่ร้อย กี่พันล้านดอลลาร์ สุดท้าย...รัฐบาลอิสราเอล เลยต้องตัดสินใจยกเลิกการให้สัมปทานโครงการสกัดเกลือจากน้ำทะเล (Desalination) มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ ที่เคยคิดจะให้กับบริษัทจีน อย่างบริษัท “Hutchison Water” อันมีฐานอยู่ที่ฮ่องกง หันมาประเคนชิ้นเนื้อก้อนนี้ให้กับบริษัท “IDE Technologies” ของอเมริกันไปแทนที่ หลังจากที่ถูกรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันออกมาส่งเสียงเตือน ให้รัฐบาลอิสราเอลเพิ่มความระมัดระวังในด้านการค้า การลงทุน และการให้ความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนด้านการวิจัยทางเทคโนโลยีกับจีน ฯลฯ...

ภายใต้ลักษณะอาการเช่นนี้นี่แหละ...ที่จะใช้คำเรียกว่า “สงครามเย็นรอบใหม่” หรือ “สงครามโลกแบบสโลว์โมชั่น” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่สิ่งเหล่านี้อาจกลายไปเป็น “กระแสหลัก” ของโลกนับจากนี้ต่อไป หรือภายในอนาคตอันใกล้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ชนิดไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจวิตถาร” (Creepy Uncle Joe-สมญานามที่พรรครีพับลิกันตั้งให้แก่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครตอย่าง “โจ ไบเดน”) จะได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันหลังจากเดือนพฤศจิกายนปีนี้ก็ตาม อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแห่งความกลัวจีน เกลียดจีน ได้ทำให้บรรดาอเมริกันชนกลายเป็นผู้ติดเชื้อโรค “Sinophobia” ไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ การเพิ่มความระมัดระวังไม่ว่าด้วยการสวม “หน้ากากอนามัย” หรือการ “กำหนดระยะห่าง” ระหว่างที่ต้องพบปะเจอะเจอ หรือต้องมีสัมพันธภาพกับประเทศอภิมหาอำนาจทั้งสอง จึงเป็นสิ่งที่ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา พึงต้องหมั่นปฏิบัติชนิดไม่อาจ “การ์ดตก” ได้เลยเป็นเด็ดขาด!!!