ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปอย่าง''คงเดิม''
สารวัตรสืบสวนจ้องภาพวงจรปิดที่จับภาพคนร้าย ครุ่นคิดว่ามาก่อเหตุทำไม และได้เงินไปน้อย ความจนตรอกแห่งความยากไร้ ก็เป็นแรงผลักดันเหมือนกัน
สารวัตรสืบครวญบอกว่างานเข้าแล้ว รับแจ้งเหตุคนร้ายถือปืนปล้นธนาคาร ตามภาษาของสำนวนคดีตำรวจใช้คำว่าชิงทรัพย์ เพราะตามกฎหมาย ปล้นนั้น ต้องมีคนก่อเหตุ 3 คนขึ้นไป
ถึงตรงนี้อย่ามัวใส่ใจหลักกฎหมาย มาสนใจเหตุงานเข้านี่ก่อน คนร้ายถือปืนไปกวาดเงินในธนาคาร เหตุแบบนี้ถือเป็นอาชญากรรมใหญ่ สารวัตรสืบสวนใส่หน้ากากอนามัยแล้วเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ โดยต้องทำหน้าที่คุมงานสืบสวนทั้งหมด หลังรองผู้กำกับสืบสวนเป็นไข้หวัด แต่เพราะความกลัวจึงถูกสั่งให้กักตัวเอง 14 วันทันที
เหตุแบบนี้ดึงดูดนักข่าวและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากันแบบงานเปิดอาคารเรียน ดีที่สารวัตรสืบสวนไม่ต้องออกไปต้อนรับมาก เขาสอบปากคำพยาน และขอวงจรปิด ได้รูปพรรณสัณฐานคนร้าย จึงขอข้อมูลวงจรปิดทั้งหมดทั้งช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ จากนั้นก็ให้ลูกน้องไปเดินไล่กล้อง
วิธีการเดินไล่กล้อง ก็คือไปดูว่าร้านใกล้เคียงไหนมีกล้องวงจรปิดบ้าง จากนั้นก็ไล่ตรวจสอบภาพ แต่ละกล้อง แต่ละตัว เชื่อมกันเป็นจุดเพื่อหาเส้นทางหลบหนีของคนร้ายว่าหลังก่อเหตุออกไปทางไหน เจ้าหน้าที่ดูกล้องพยายามหาทะเบียนรถ
สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือการสอบปากคำพยาน เพื่อหาร่องรอยพิรุธ ตอนนี้ก็ต้องเผื่อคิดไว้บ้างว่าอาจจะมีคนในธนาคารร่วมก่อเหตุด้วยไว้ก่อน เป็นสมมุติฐานเบื้องต้นจากหลากหลายสมมุติฐาน จากนั้นก็ค่อย ๆ ตัดไป
ทุกอย่างต้องว่าไปตามหลักฐาน อย่าไปสร้างเรื่องที่ไม่มีหลักฐานรองรับเด็ดขาด ไม่งั้นจะพาแนวทางการสืบสวนเสีย
กว่าจะได้เริ่มงานจริง ๆ ก็ต้องรอผู้บังคับบัญชาเดินทางกลับ นักข่าวเหลือกันไม่กี่คน ยืนเพลิดเพลิน ถึงตรงนี้ก็คงมีตำรวจที่เป็นแหล่งข่าวของนักข่าวส่งคลิปวงจรปิด รูปหน้าคนร้ายไปให้แล้วกระมัง ไม่นานก็คงมีภาพเกลื่อนหราเต็มหน้าเว็บข่าวอย่างแน่นอน
พวกเขาไล่ล่ากล้องวงจรปิด อีกทีมสอบปากคำพยาน ทุกคนยังอยู่ในอาการขวัญเสีย ซึ่งก็เข้าใจได้ คนเราไม่ได้ตื่นเช้ามาทำงานเพื่อเจอเหตุคนร้ายปล้นธนาคารกันบ่อย ๆ ทุกวันเหมือนเจอรถติด ดังนั้นก็ต้องให้เวลาพยานในการลำดับเรื่องราวและให้ผ่อนคลายจากความวิตก
ซึ่งพอดูแบบนี้ ก็คาดได้ว่า คนในธนาคารไม่น่าจะเกี่ยวข้อง เพราะเงินที่ได้ไปก็ไม่มากหลักแสน ในยุคสมัยที่แบงค์ร้อยใบเดียว ไม่พอยาไส้มากนัก เงินแสนก็ไม่ช่วยให้อยู่รอดในยุคเศรษฐกิจกระอักแบบนี้ได้หรอก
สารวัตรสืบสวนจ้องภาพวงจรปิดที่จับภาพคนร้ายได้อย่างชัดเจน ครุ่นคิดว่ามาก่อเหตุทำไม และได้เงินไปน้อย ความจนตรอกแห่งความยากไร้ ก็เป็นแรงผลักดันเหมือนกัน เขามองปืนที่ขู่พนักงาน ก็คิดว่าน่าจะปืนปลอม คนร้ายไม่ได้เอานิ้วเข้าโกร่งไกเตรียมยิง จึงดูไม่คิดหวังชีวิต แค่คำขู่อย่างรุนแรง ก็เพียงพอสำหรับการเอาเงินให้แล้ว
น่าเสียดายหัวใจเศร้า ที่พนักงานอุตส่าห์กดสัญญาณไปยังโรงพักแล้ว แต่ก็อย่างว่า ทุกอย่างมันช้ากันไปหมด จึงจับคนร้ายไม่ได้
กินเวลาหลายชั่วโมง กับการตรวจกล้องวงจรปิด งานน่าเบื่อหน่าย ที่เปลืองบุหรี่ไปหลายมวน กว่าจะไล่เส้นทางของคนร้าย กว่าจะรู้ทะเบียนรถ ไปกดข้อมูล แล้วส่งนักสืบไปที่บ้าน สารวัตรสืบสวนสังหรณ์ใจว่าไม่น่าจะใช่คนร้าย และปรากฏว่าสังหรณ์นี่แม่นจนอยากจะใช้ไปซื้อหวยถูกรางวัลที 1 บ้าง
“สอบถามแล้วครับ แกบอกทะเบียนรถโดนขโมยไป 3 วันก่อน จอดอยู่หน้าแฟลต ที่ไม่ไปแจ้งความก็แน่นอนครับ ขี้เกียจ” สารวัตรสืบสวนเข้าใจในสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ใครจะอยากพาตัวเองไปอยู่ที่เสี่ยง โรงพักนี่มันก็เสี่ยงไม่ใช่น้อย
“แสดงว่าก็มีการวางแผนเตรียมการมาพอสมควร กะให้ตำรวจหลงประเด็น” จากนั้นนักสืบจึงไปดูจุดที่จยย.ของเจ้าของป้ายทะเบียนซึ่งถูกคนร้ายขโมย ตรวจกล้องวงจรปิดแถวนั้น ได้ชายต้องสงสัยคนหนึ่งรูปร่างใกล้เคียงคนร้าย
นักสืบไล่วงจรปิดตลอดเส้นทาง เห็นจุดที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ไล่ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับลงพื้นที่ติดตามคนร้ายไปเรื่อย ๆ ไม่ย่อท้อ
กินเวลา 5 วัน เมื่อนักข่าวเริ่มไปสนใจข่าวอื่น
พวกเขาก็จับคนร้ายได้ มันมาจากการดูวงจรปิดไล่ล่าคนร้ายไปถึงจุดที่ขี่รถไปทิ้ง แล้วแอบไปเช่าห้องอยู่เพื่อกบดาน ตำรวจไปแอบดูกันเต็มไปหมด จนรู้ชื่อจากเจ้าของห้องพัก ดูรูปพรรณนิสัยจนมั่นใจให้ร้อยเวรไปขอหมายจับศาล ช่วงเก้าโมง ก็ให้เจ้าของหอไขกุญแจเปิด แม้จะเตรียมใจเผื่อมีปะทะ แต่ปรากฏว่าคนร้ายยังนอนเพลิน ไม่ต้องใส่กุญแจมือ แต่ต้องช่วยแต่งตัว ขนห้องเก็บหลักฐานทุกอย่าง แล้วก็สอบปากคำ
กินเวลาไม่นาน คนร้ายก็รับสารภาพ ก่อเหตุเพราะตกงาน ไม่มีเงิน ติดหนี้ ปัญหาสารพัด จึงเลือกทางเดินนี้
นักสืบจบเรื่อง ส่งข้อมูลให้นายไปแถลงข่าว พาตัวไปทำแผนชี้จุด ซึ่งก็คืออีกชื่อของแผนประกอบคำรับสารภาพ พาไปชี้จุดโยนปืนลงน้ำ เอาเสื้อผ้าไปทิ้ง จุดขโมยป้ายทะเบียน ทำมากมายแล้วก็โยนให้ร้อยเวรสอบต่อ อีกวันพาตัวไปส่งศาลเข้าเรือนจำ
ทุกอย่างจบสิ้น นับเป็นคดีที่ผ่านพ้นไปด้วยดี
สารวัตรสืบสวนจิบเบียร์กระป๋องในห้องของตัวเองเบา ๆ ฉลองความสำเร็จนี้ แล้วก็มานั่งดูคดีค้างเก่าต่าง ๆ นานา ยังมีคดีอีกมากที่ตำรวจยังไขไม่สำเร็จ
เขาจ้องมองเรื่องราวเหล่านั้น ราวกับมันมีชีวิตและส่งเสียงต้องการให้ตำรวจบำบัดทุกข์จับคนร้ายมารับโทษตามกฎหมายเพื่อให้เหยื่อได้รับการเยียวยาภายใต้ความยุติธรรม
สารวัตรสืบสวนจ้องจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะปิดมันลง รีบจิบเบียร์ให้หมด แล้วใส่หน้ากากอนามัยเดินออกจากโรงพัก ขับรถกลับบ้าน ล้มตัวลงนอน หลับสนิทตลอดคืน แล้วตื่นตอนเช้ามาครุ่นคิดถึงคดีคงค้าง แต่ไม่มีคำพูดใดนอกจากความพยายามจะงัดร่างตัวเองออกจากเตียงเพื่อไปทำงาน
ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปอย่างคงเดิมแบบนี้
คอลัมน์ : หนอนโรงพัก
โดย "ณัฐกมล ไชยสุวรรณ"