ที่ปรึกษานายกฯUKเมินลาออก หลังถูกจับได้ฝ่าฝืนล็อกดาวน์ช่วงต้องสงสัยติดโควิด-19
by ผู้จัดการออนไลน์รอยเตอร์ - ผู้ช่วยคนสนิทที่สุดของบอริส จอห์น นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ในวันจันทร์(25พ.ค.) ขัดขืนเสียงเรียกร้องให้ลาออกต่อข้อกล่าวหาละเมิดมาตรการล็อกดาวน์สกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) ด้วยการขับรถหลายร้อยกิโลเมตรจากลอนดอนไปยังทางเหนือของอังกฤษ ไปหาครอบครัว ทั้งที่ในตอนนั้นตนเองอยู่ในข่ายต้องสงสัยติดเชื้อโควิด-19
ในถ้อยแถลงที่เขาอ่านให้สื่อมวลชนฟัง บริเวณสวนกุหลาบของบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง โดมินิก คัมมิงส์ ที่ปรึกษาอาวุโสของจอห์นสัน เชื่อว่าเขาทำไปด้วยเหตุผลที่ดีและไม่ได้ละเมิดกฎระเบียบต่างๆของคำสั่งล็อกดาวน์
"ผมทำในสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง" คัมมิ่งส์ตอบคำถามผู้สื่อข่าว หลังอ่านถ้อยแถลง "ผมคิดว่า ผมประพฤติตัวอย่างสมเหตุสมผล"
เมื่อวันอาทิตย์(24พ.ค.) จอห์นสัน ปกป้อง คัมมิงส์ โดยบอกว่าที่ปรึกษารายนี้ทำได้อย่างมีเหตุผล ไม่ผิดกฎหมายและความซื่อสัตย์ หลังขับรถเป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตรในช่วงปลายเดือนมีนาคม จากกรุงลอนดอนไปยังเมืองเดอรัม ทางภาคเหนือของอังกฤษ พร้อมกับลูกชายและภรรยา ซึงมีอาการติดเชื้อโควิด-19 เพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่วัยชรา ก่อนที่ไม่กี่วันต่อมา เขา ถูกพบว่าติดเชื้อไวัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน
ในช่วงเวลานั้นกฎระเบียบอันเข้มข้นในมาตรการล็อกดาวน์ได้ถูกบังคับใช้แล้ว และความพยายามปกป้องคัมมิงส์ของจอห์นสัน ต้องเจอกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตีโต้กลับ ด้วยหลายฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับวิจารณญาณของนายกรัฐมนตรีรายนี้ ในขณะที่ส.ส.บางส่วน, นักวิทยาศาสตร์, แพทย์, เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแม้แต่บาทหลวง ก็ล้วนแต่มองว่าการที่ คัมมิงส์ เพิกเฉยต่อกฎระเบียบที่บังคับใช้กับทุกคน ได้บ่อนทำลายความพยายามควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
เชื่อว่า คัมมิงส์ วัย 48 ปี จะยังคงถูกกดดันอย่างหนักให้ลาออกจากตำแหน่งต่อไปแม้เขาออกถ้อยแถลงชี้แจงแล้ว และการลาออกของเขาจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของจอห์นสัน
คัมมิงส์ ซึ่งไม่ได้แสดงท่าทีเสียใจต่อทริปการเดินทางที่ละเมิดมาตรการล็อกดาวน์แม้แต่น้อย มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ จอห์นสัน ก้าวเข้าสู่อำนจเมื่อปีก่อน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนสนับสนุนอังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป ในศึกประชามติเมื่อปี 2016
ด้วยยอดผู้เสียชีวิตสะสมพุ่งเกิน 36,000 คนแล้ว สหราชอาณาจักรกลายเป็นชาติที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หนักหน่วงสุดในยุโรป และก่อนหน้านี้รัฐบาลก็ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างรุนแรงอยู่ก่อนแล้ว ต่อแนวทางรับมือกับโรคระบาดใหญ่