สุดเหี้ยม ‘แม่ปุ๊ก’คดีวางยาลูก-นำอาหารมาเยี่ยมทุกครั้ง อาการทรุดเลือดออก-ปากบวม
by matichonสุดเหี้ยม ‘แม่ปุ๊ก’คดีวางยาลูก-นำอาหารมาเยี่ยมทุกครั้ง อาการทรุดเลือดออก-ปากบวม
เปิดพฤติการณ์ “แม่ปุ๊ก” วางยาลูก2 คนหวังเงินบริจาค เเพทย์เคยสั่งไม่ให้เยี่ยมหลังพบข้อสังเกตุวางยาเด็ก
จากกรณีตำรวจ กก.4 บก.ป.จับกุม น.ส.นิษฐา วงวาล หรือ แม่ปุ๊ก ในข้อหา “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ฉ้อโกงประชาชน” ที่ก่อเหตุหลอกลวงชาวเน็ตให้สั่งซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊กโดยอ้างว่าต้องการนำเงินไปรักษาน้องอมยิ้ม อายุ 3 ขวบ ที่ป่วยเป็นโรคประหลาดก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 2562 ต่อมา แม่ปุ๊กอ้างว่าน้องอิ่มบุญ อายุ 3 ขวบ น้องชายคนเล็กได้ป่วยแบบเดียวกัน แต่เมื่อแพทย์ตรวจสอบอาการเด็กแล้วพบพิรุธว่าเด็กอาจถูกสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายร่างกาย ขณะที่ตัวแม่ปุ๊กกลับได้เงินช่วยเหลือไปร่วม 20 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ คำร้องขอฝากขังในคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปรามได้ยื่นคำร้องขอฝากขัง นางสาวนิษฐา วงวาล หรือแม่ปุ๊ก ผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่า วางยาลูก 2 คน จนเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2563 พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้รับตัว นางสาวนิษฐา วงวาล อายุ 29 ปี เพื่อดำเนินคดี
โดยกล่าวหาว่า รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ , พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย , ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และฉ้อโกงประชาชน ที่โรงพยาบาลนครสวรรค์ประชารักษ์ ตำบลปากน้ำโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2558 ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน ที่บ้านพักของนางสาวนิษฐา ถนนเทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2558 เกี่ยวเนื่องกันถึงที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ระหว่างวันที่20 ธ.ค 2561 – 12 ส.ค. 2562 (กรณีน้องอมยิ้ม)
โดยคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่24 เม.ย.63นางสาวเอมอัชนา (มารดาแท้ๆของน้องยิ้ม) ซึ่งเป็นผู้กล่าวหา ได้มาร้องทุกข์ ที่กองบังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับน.ส.วนิษฐา โดยแจ้งว่าเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2558 ได้ถูกผู้ต้องหา หลอกลวงว่าจะขอรับอุปการะเลี้ยงดูบุตรของนางสาวเอมอัชนา ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ โดยหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าผู้ต้องหา เป็นผู้มีฐานะดีมีอาชีพการงานที่มั่นคงโดยอ้างว่าเป็นเภสัชกรเมื่อ น.ส.เอมอัชนา คลอดบุตรแล้วชื่อว่าน้องยิ้ม ผู้ต้องหาได้มารับตัวน้องน้องยิ้ม ที่โรงพยาบาลนครสวรรค์ประชารักษ์ เพื่อไปดูแล
ต่อมาผู้ต้องหาได้แจ้งว่าน้องยิ้ม มีอาการป่วยมีความจำเป็นต้องทำประกันสุขภาพจึงหลอกลวงให้น.ส.เอมอัชนา ทำการเปิดบัญชีธนาคารทหารไทยจำนวน 1 บัญชี และผู้ต้องหา ได้เปิดบัญชีธนาคารทหารไทยอีกจำนวน 2 บัญชี เป็นชื่อบัญชีของน.ส.เอมอัชนา ปรากฏว่า ผู้ต้องหา ได้นำบัญชีธนาคารดังกล่าวไปใช้ในการแสวงหาประโยชน์โดยอ้างว่าเป็นมารดาของน้องยิ้ม ที่ป่วยด้วยโรค “เรนินโนม่าห์” และใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณารับบริจาคเงินผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งบริจาคเงินโดยตรงและในรูปแบบของการซื้อสิ่งของ เช่นเครื่องมือแพทย์ เครื่องมือวัดไข้ จนมีผู้หลงเชื่อโอนเงินบริจาคเข้าบัญชีธนาคาร
ตามที่กล่าวมาข้างต้นจำนวนมากและในบางครั้งก็ไม่ส่งสินค้าให้ และได้ใช้บัญชีธนาคารดังกล่าว มีผู้เสียหายจำนวนหลายรายที่หลงเชื่อ โอนเงินค่าสินค้าเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าวและมีผู้เสียหายจำนวนมาก ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุหลายท้องที่ และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี
ต่อมาน.ส.นิษฐาได้แจ้งกับน.ส.เอมอัชนา ว่าน้องยิ้มป่วยหนักเข้าทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ และในวันที่ 12 ส.ค.น้องยิ้มได้เสียชีวิต โดยผู้ต้องหาห้ามไม่ให้น.ส.เอมอัชนา เข้ามาเยี่ยมดูอาการไข้และไม่ให้ไปร่วมงานศพ โดยอ้างว่าสามารถดูแลได้และไม่อยากเห็นหน้าน.ส.เอมอัชนา เนื่องจากมีหน้าตาคล้ายกับน้องยิ้ม หากเห็นแล้วจะมีความคิดถึง น.สเอมอัชนา ได้หลงเชื่อจึงไม่ได้ไปเยี่ยมไข้และไม่ได้ไปร่วมงานศพแต่อย่างใด
จากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหาได้รับอุปการะเลี้ยงดูน้องยิ้มจริง และอ้างว่ามีบุตรชายอีก 1 คนชื่อ น้องอิ่มบุญอายุ 2 ขวบเศษ ไม่ปรากฏชื่อของบิดา และมีพฤติกรรมฉ้อโกงหลอกลวงขายสินค้าเครื่องมือแพทย์ กระทำความผิดและมีหมายจับกุมในหลายท้องที่และได้พบข้อความในfacebook ส่วนตัว ของผู้ต้องหาปรากฏข้อความขอรับบริจาคเงิน หรือขายสินค้า
โดยใช้ภาวะอาการเจ็บป่วยทุกข์ทรมานของน้องยิ้มและน้องอิ่มบุญ เป็นเครื่องมือในการโฆษณาจนมีผู้หลงเชื่อโอนเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารของนางสาวเอมอัชนา เป็นจำนวนมาก โดยผู้ต้องหาเป็นผู้ถือบัตร เอทีเอ็ม และสมุดบัญชีธนาคารเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารดังกล่าวจำนวนถึง 20 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี โดยเงินดังกล่าวผู้ต้องหาเป็นผู้นำไปใช้ประโยชน์ทั้งหมด
จากการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์แพทย์ เป็นผู้ทำการรักษาอาการเจ็บป่วยของน้องยิ้มและน้องอิ่มบุญ ปรากฏข้อมูลว่าน้องอิ่มบุญ เข้ามาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 และน้องยิ้ม ไม่ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรค “โรนินโนม่าห์” ตามที่ผู้ต้องหาแสดงข้อความอันเป็นเท็จในการโฆษณาขายสินค้า และรับบริจาคแต่อย่างใด อีกทั้งอาการเจ็บป่วยทั้งของน้องยิ้ม และน้องอิ่มบุญ ไม่ได้เกิดจากโรคที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่เป็นอาการของผู้ที่ได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายด้วยการกินเข้าไป
จากการตรวจสอบชิ้นเนื้อและตรวจสอบร่างกายของเด็กอย่างละเอียดแล้วยังพบว่า ทั้งน้องยิ้มและน้องอิ่มบุญ ได้รับสารพิษประเภท “สารกัดกร่อน” ซึ่งเป็นกรดหรือด่างเข้าสู่ร่างกายซึ่งคล้ายคลึงกับผู้ป่วย ที่ดื่มสารพิษประเภทน้ำยาล้างห้องน้ำ ไฮเตอร์ เพื่อฆ่าตัวตาย จากการเฝ้าดูอาการของแพทย์และพยาบาลผู้ทำการรักษาพบว่า เมื่อ น.ส.นิษฐา มาเยี่ยมไข้ได้นำอาหารมาให้น้องยิ้มและน้องอิ่มบุญกิน จะมีอาการทรุดหนัก ปากบวมมีเลือดออกที่ปาก จมูกและมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นมากมาย โดยทุกครั้งเมื่อเด็กมีอาการเจ็บปวดทุกข์ทรมาน น.ส.นิษฐา จะถ่ายรูป ถ่ายทอดสดเพื่อนำไปโฆษณาแสวงหาประโยชน์เรียกรับเงินบริจาคแก่ผู้มีจิตเมตตาสงสารทุกครั้ง
คณะแพทย์พยาบาลจึงได้มีมาตรการควบคุม ไม่ให้น.ส.นิษฐาเข้าเยี่ยม และไม่ให้นำอาหารมาให้เด็กกินอีก อาหารปรากฏว่าอาการกลับดีขึ้นตามลำดับ ผลจากการกระทำของน.ส.นิษฐาคือ น้องยิ้มได้ถึงแก่ความตาย และน้องอิ่มบุญได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส บาดเจ็บสาหัส หลอดลมและหลอดอาหารเสียหาย มีอาการพิการและได้รับทุกข์ทรมานจากการกลืนอาหารไปตลอดชีวิต แพทย์ผู้ทำการรักษา ฝ่ายกฎหมาย และนักสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว
จึงเชื่อว่าน.ส.นิษฐาเป็นผู้ให้สารพิษประเภท สารกัดกร่อน เข้าสู่ร่างกายด้วยการกินเพื่อให้น้องยิ้มและน้องอิ่มบุญมีอาการเจ็บป่วย ทุกขเวทนาน่าสงสารเพื่อที่จะลงข้อความผ่านอินเตอร์เน็ต ต่อสาธารณชนขายสินค้าและรับบริจาคแสวงหาผลประโยชน์ ให้แก่ผู้ต้องหาเองการกระทำของผู้ต้องหา
ที่กระทำต่อน้องยิ้มเป็นความผิดฐานรับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมาย เพื่อเป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายฉ้อโกงในการแสดงตนเป็นคนอื่นฉ้อโกงประชาชน และการกระทำต่อน้องอิ่มบุญเป็นความผิดฐานรับไว้ ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นและฉ้อโกงประชาชน
ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา ในข้อหาดังกล่าว ต่อมาศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับที่ 675 /2563 ลงวันที่ 18 พ.ค. 2563 เวลา 14:00 น เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ได้จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับข้างต้นเพื่อนำส่งดำเนินคดี นอกจากนี้คณะแพทย์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับผู้ต้องหาในความผิดทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตาม พรบ.คุ้มครองเด็กมาตรา 40 ที่สภ.คลองหลวงตามคดีอาญาที่ 127/2563 จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ทั้งนี้การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ครบกำหนดการควบคุมตัว 48 ชั่วโมงในวันที่ 20 พ.ค. 63พนักงานสอบสวน ยังต้องสอบปากคำพยานอีก 10 ปาก รอผลตรวจของกลางและผลตรวจสอบการพิมพ์มือของผู้ต้องหา ด้วยความจำเป็นจึงขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งเเรกไว้มีกำหนด 12 วันนับตั้งแต่วันที่ 20 – 31 พ.ค.นี้
หากมีการยื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหาพนักงานสอบสวน ขอคัดค้านการประกันเนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงหากให้ประกันผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี
จากการตรวจสอบผู้ต้องหาและพยานซึ่งเป็นบิดาของผู้ต้องหา ได้ให้การว่าผู้ต้องหาได้เคยเข้ารับการรักษาด้วยโรคสุขภาพจิต ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ผลการตรวจสอบพบว่ามีความผิดปกติกับการจัดการความเครียดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563
แต่ในขณะทำการสอบสวนผู้ต้องหารับทราบเข้าใจคำถามของพนักงานสอบสวน และสามารถตอบคำถามของพนักงานสอบสวนได้ และมีสติสัมปชัญญะดีจึงขออนุญาตให้นำส่งผู้ต้องหาไปตรวจสุขภาพจิตอย่างละเอียดเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน