https://www.dailynews.co.th/admin/upload/20200525/news_djSmPIHnol194902_533.jpg?v=20200526078

ขยายอุทธรณ์"คดีโอ๊ค-ฟอกเงิน" รอให้อสส.ชี้ขาดฟ้องหรือไม่

ศาลอาญาคดีทุจริตฯอนุญาตขยายอุทธรณ์ คดี “โอ๊ค” ฟอกเงินปล่อยกู้กรุงไทยครั้งที่ 6 เป็น 25 มิ.ย.เหตุรอ อสส.ชี้ขาดฟ้องหรือไม่

เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลมีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 6ในคดีหมายเลขดำที่ อท.245/2561 หมายเลขเเดงที่ อท.225/2562ที่ พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่น ฟ้อง นายพานทองแท้ หรือ โอ๊ค ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ คดีร่วมกันฟอกเงินทุจริต เงินปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย จำนวน 10 ล้านบาท ในความความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91

โดยคดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง มีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 25 พ.ย.62 ซึ่งต่อมาทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษ4 ได้ทำความเห็นส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีศาลสูง ว่าเห็นควรไม่อุทธรณ์คดีต่อ ซึ่งอัยการสำนักงานคดีศาลสูงเห็นด้วย ตามกฎหมายจึงต้องส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่

ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองเรื่องดังกล่าว เพื่อเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ความเห็นของพนักงานอัยการ และคำพิพากษาของศาล ทั้งที่พิพากษายกฟ้อง และที่ทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษา ประกอบกับความเห็นของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษาแล้ว เห็นว่ายังมีประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ควรต้องนำสู่การพิจารณาของศาลสูงเพื่อวินิจฉัย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีความเห็นควรให้นำคดีขึ้นสู่ศาลสูงโดยส่งให้อัยการสูงสุดชี้ขาด เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา เเละจะครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 5ในวันนี้

โดยคำร้องขอขยายระบุเหตุผลว่า เนื่องจากคดีนี้อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูงได้พิจารณาสั่งสำนวนแล้ว และโจทก์ได้เสนอสำนวนต่อไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกเพื่อพิจารณา ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นแย้งจึงส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาดตามขั้นตอนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 เพื่อมีคำสั่งในชั้นอุทธรณ์ต่อไป และสำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด โจทก์จึงไม่สามารถดำเนินการในชั้นอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จได้ทันภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 25 มิ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ในศาลชั้นต้น องค์คณะผู้พิพากษา 2 คนมีความเห็นต่างกันในการตัดสิน โดย 1 ในองค์คณะ มีความเห็นแย้งว่า พฤติการณ์ที่มีเช็คเงินลงชื่อนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร โอนเข้าบัญชีนายพานทองแท้ เป็นความผิด เห็นควรให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ซึ่งมีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วย โดยหากคู่ความยื่นอุทธรณ์ความเห็นแย้งนี้ในสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบด้วย.