ข่าวลึกปมลับ : พท.-พปชร. เดินเกม เสริมอำนาจบิ๊กบราเธอร์
by ทีมข่าวอาชญากรรมรายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 ตอน พท.-พปชร. เดินเกม เสริมอำนาจบิ๊กบราเธอร์
ประเด็นใหญ่ทางการเมืองที่ปูดออกมาตอนนี้ คือ มีข่าว 3 มุ้งในพรรคเพื่อไทยเตรียมขยับออกไปตั้ง “พรรคใหม่” พร้อมกันนี้ก็มีกระแสข่าวการจับมือกันระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่คือ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยก็เกิดขึ้นทันที
ว่ากันสำหรับ 3 มุ้งที่จะแยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยได้แก่ กลุ่มอดีตขุนพลพรรคไทยรักไทย นำโดย “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี “หมอมิ้ง” นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรี
หรือกลุ่มของ “เสี่ยเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.พลังงาน ซึ่งอาจรวมไปถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐที่จะมาผสมโรงในกลุ่มนี้ด้วย
รวมไปถึงกลุ่มอดีตพรรคไทยรักษาชาติเก่า นำโดย “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง “เสี่ยแดง” พิชัย นริพทะพันธ์ อดีต รมว.พลังงาน
3 มุ้งใหญ่ๆ มีแววที่จะออกไปตั้งพรรคใหม่ในเร็ววัน ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปว่า สุดท้ายทั้ง 3 มุ้งจะรวมกันแล้วเหลือกี่พรรค หรือจะมีทั้ง 3 พรรคเลยเป็นไปได้ทั้งหมด
ข่าวนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่มีเอกภาพในพรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่นาย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค และ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เข้ามากุมบังเหียน
และเห็นอาการดิ้นหนีสภาพที่นับวัน จะถดถอยไปทุกวัน ด้วยที่อยู่เพื่อไทยต่อไป ตราบใดที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ยังคงบังคับใช้อยู่ การกระจุกกันอยู่ในพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว มีแต่จะรอวันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
บรรดานักการเมืองสายเพื่อไทย รู้ดีว่า ไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากแน่ สู้ออกไปตั้งพรรคใหม่ ยังเป็นหนทางและโอกาสกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรได้ง่ายกว่าการยังคงอยู่กับพรรคเพื่อไทย
แต่การแยกตัวนี้ ที่หลายคนมองว่า จะนำไปสู่การจับมือกันระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยนั้น ในทางความเป็นจริงยังเป็นเพียงแค่ข้อสังเกตเท่านั้น
เพราะจุดมุ่งหมายการแยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยของบรรดามุ้งต่างๆ มีจุดประสงค์หลักคือ การกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร และการเพิ่มตัวตนกว่าที่เป็นอยู่
3 มุ้งในพรรคเพื่อไทย กำลังเดินไปในลักษณะเดียวกับพรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ นั่นคือ การแตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อย
การแยกตัวทำให้แต่ละกลุ่มมีโอกาสได้เป็น ส.ส. โดยยังเป็นเนื้อเดียวกับพรรคเพื่อไทยอยู่ เพียงแต่ว่า ไม่ต้องขึ้นตรงกับใครคนใดคนหนึ่งจากพรรคเพื่อไทย นอกจาก “นายใหญ่”
แต่ละมุ้งต้องการมีอำนาจต่อรองในตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพิงโควตาของพรรคเพื่อไทย เหมือนกับที่พรรคเสรีรวมไทยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส มีอำนาจต่อรองแม้มี ส.ส.เพียง 10 คน
และแน่นอนว่า หากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ มุ้งต่างๆ ก็ยังแท็กทีมอยู่กับฝั่งพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก เพียงว่า ไม่ต้องรอฟังคำสั่ง ไม่ต้องหารผลประโยชน์ มีอำนาจต่อรองของตัวเอง
จึงสรุปได้ว่า การแยกตัวมาตั้งพรรคใหม่ นอกจากจะทำให้ตัวเองได้กลับเข้าสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ยังเพิ่มสถานะความเป็น “ตัวแปร” ทางการเมืองได้อีก แม้จะมี ส.ส.เพียงไม่กี่คน
ปัจจุบันนี้ต่อให้พรรคพลังประชารัฐไม่ได้จับมือกับพรรคเพื่อไทย แต่ใครๆ ก็รู้ว่า มี ส.ส.และนักการเมืองในฝ่ายค้านหลายคนให้ความร่วมมือในสภาฯ กับฝ่ายรัฐบาล อยู่เสมอ ในฐานะคนกันเอง
นักการเมืองส่วนใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐกับนักการเมืองในพรรคเพื่อไทย ล้วนมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกันแม้เบื้องหน้าจะต้องสวมบทโจมตีกันไปมา
ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยหลายคนมีอิสระในการทำมาหากิน หลัง “นายใหญ่” ปล่อยมือ และไฟเขียวในช่วงที่ยากจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีต ถึงขนาดว่า มีการ “ฝากเลี้ยง”
แต่การจะควบรวมกันเป็นรัฐบาลในเบื้องหน้าดูจะเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่อาจเสียมวลชนไปให้กับพรรคอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ดังนั้น การให้ความร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลแบบลับๆ เหมือนที่ผ่านมา ดูจะตอบโจทย์มากกว่า
ที่สำคัญ ข่าวคราวการจับมือกันนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่มีกระแสการผลักดัน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ซึ่งหากย้อนกลับไปถึงจุดมุ่งหมายของบางกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐที่ต้องการให้ “บิ๊กป้อม” เป็นหัวหน้าพรรคเอง ก็เพราะปัจจุบันพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์เป็นเพียงรองนายกรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว การขยับมาเป็นหัวหน้าพรรค จะทำให้มีหลักยึด โดยเฉพาะการเป็นผู้ที่คุม ส.ส.แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
การได้พรรคเพื่อไทยมาด้วย จะยิ่งทำให้ “บิ๊กป้อม” มีกำลัง ส.ส.ในสภาฯ จำนวนมาก ไม่ใช่แค่ในพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น หรือเรียกว่า ชี้เป็นชี้ตายในสภาฯได้
อย่างที่รู้กันว่า ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ การต่อสู้ยังดำเนินอยู่ตลอด ทั้งในแง่ของข่าวปล่อยและสงครามประสาท
ข่าวการจับมือของสองพรรคใหญ่ น่าเป็นเพียงการตั้งสมมุติฐานจากปรากฏการณ์แตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อยของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้มีความแน่นอนชัดเจนในช่วงนี้ แต่การเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะ ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร นั่นเอง