สงครามเย็น(นิวเคลียร์)รอบใหม่!!!

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000005596601.JPEG

ระหว่างคำว่า “สงครามโลกแบบสโลว์โมชั่น” (Slow-Motion World War) หรือแบบค่อยๆ เคลื่อนไหวไปช้าๆ ที่เหยี่ยวข่าวสาวชาวออสเตรเลีย คุณ “Caitlin Johnson” ท่านได้บัญญัติศัพท์ บัญญัติคำ ไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “The US is treating China like it’s Nazi Germany. This slide towards a World War Three.” ดังที่ได้เล่าสู่กันฟังไปแล้วเมื่อวานนี้ กับคำว่า “สงครามเย็นรอบใหม่” (New Cold War) ระหว่างจีนและอเมริกา ที่ “นายหวัง อี้” (Wang Yi) มุขมนตรีแห่งรัฐและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจีน เพิ่งเอ่ยปากออกมาแบบสดๆ ร้อนๆ หลังการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีนเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (24 พ.ค.) ที่ผ่านมา มันจะเหมือนกัน หรือผิดแผกแตกต่างไปจากกัน หรือไม่ เพียงใด? อันนี้...ต้องเรียกว่าน่าคิดสะกิดใจ และน่าสนใจเอามากๆ โดยเฉพาะท่ามกลางบรรยากาศที่ 2 อภิมหาอำนาจระดับโลก ต่างหันมา “ใส่กันและกัน” ชนิดหนักหน่วง รุนแรงยิ่งเข้าไปทุกที...

ยิ่งถ้าลองหันไปเงี่ยหูฟัง จาก “กระบอกเสียง” หรือสื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ยิ่งอาจต้อง “หรี่แอร์” ทั้งๆ ที่อากาศร้อนระดับตับแลบ ม้ามแลบ อย่างบ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่ เพราะไม่ว่าจะโดยข้อเขียน บทความ ว่าด้วยเรื่องการมาถึงจุดที่ความสัมพันธ์อเมริกาและจีนออกอาการตกต่ำแบบสุดๆ โดยมิได้คาดหมาย (China-US ties have arrived unexpected low) ของผู้เขียนที่ใช้นามว่า “Hu Xijin” ซึ่งนอกจากจะไล่เรียงให้เห็นถึงความไม่เข้าท่า เข้าทางของรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” ที่เป็นไปในลักษณะ “มีความผิดปกติทางจิตอันเนื่องมาจากแนวคิดในแบบยุคสงครามเย็น” (megalomaniac Cold War thinking) จำนวนถึง 6 ข้อ 6 ประการด้วยกัน ยังหันมาเร่งเร้า ปลุกเร้า ปลุกระดมให้บรรดาชาวจีนในทุกระดับชั้น โดยเฉพาะบรรดาผู้นำในแวดวงต่างๆ ให้หันมาสามัคคีกันให้มากๆ เข้าไว้ ให้ “กล้าหาญที่จะยืนหยัดอยู่ในแนวหน้าแห่งการแข่งขันอันสลับซับซ้อน” และให้หันมองสัมพันธภาพระหว่างอเมริกากับจีนแบบใหม่ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากยุคอดีตแบบโดยสิ้นเชิง ฯลฯ ฯลฯ...

เช่นเดียวกับข้อเขียน บทความ เรื่อง “Australia should distance itself from a possible new China-US Cold War” ในวันเดียวกัน (24 พ.ค.) ที่ออกมา “ปราม” ประเทศ “ผู้ช่วยนายอำเภอ” อย่างออสเตรเลียเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างไปจากเสียงคำรามของพญามังกรเอาเลยถึงขั้นนั้น เช่น “ถ้ารัฐบาลอเมริกันสร้างแรงกดดันให้จีนต้องตอบโต้ต่อสหรัฐฯ และพันธมิตร ในสงครามเย็นรอบใหม่ การตอบโต้เหล่านี้อาจก่อให้เกิด...อันตรายร้ายแรง...ต่อออสเตรเลีย” หรือ “ถ้าออสเตรเลียยังคิดสนับสนุนสหรัฐฯ ในการทำสงครามเย็นรอบใหม่กับจีน จีนอาจต้องสู้กลับ โดยออสเตรเลียอาจต้องได้รับผลกระทบที่เจ็บปวดซะยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกา” ฯลฯ ฯลฯ...

คือพูดง่ายๆ ว่า...โดยบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนช่วงนี้ ไม่ว่าจะใช้คำว่า “สงครามเย็นรอบใหม่” หรือ “สงครามโลกแบบสโลว์โมชั่น” ก็แล้วแต่ มันคงไม่ถึงกับผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะเกิดการหันไปปลุกระดมผู้คนภายในแต่ละประเทศ ให้กล้าหาญ ยืนหยัด ให้ร่วมมือ ร่วมใจ รวมพลังเพื่อรับมือกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังเริ่มลุกลามบานปลายไปสู่การแยกฝ่าย แยกข้าง แยกมิตร แยกศัตรู แบบถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิด “พื้นที่เป็นกลาง” ภายในโลกใบนี้ น่าจะค่อยๆ หดแคบลงไปทุกที หรืออาจไม่เหลือที่หยัด ที่ยืน ภายในอนาคตอันใกล้เอาเลยก็ไม่แน่ อันอาจทำให้บรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อย อย่างเช่นประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา มีสิทธิปวดเศียรเวียนเกล้า เหนื่อยหอบไอแห้งๆ ไปถึงขั้นทางเดินหายใจอักเสบ เพราะ “เชื้อไวรัสทางการเมือง” ที่ร้ายแรงไม่แพ้เชื้อไวรัส “COVID-19” อีกด้วยเช่นกัน...

และจะด้วยบรรยากาศทำนองนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้...ที่ทำให้เกิด “ข่าวล่า-มาเรือ” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยสำนักข่าว “KCNA” ของทางการเกาหลีเหนือ ที่ระบุถึงความเคลื่อนไหวของผู้นำสูงสุด อย่าง “คิมน้อย” หรือประธานาธิบดี “คิม จองอึน” ที่ได้เรียกระดมบรรดาผู้บัญชาการทหารระดับสูง และสมาชิกฝ่ายความมั่นคงในแต่ละระดับ ให้เตรียมพร้อมด้านกำลังขั้นสูงสุด และให้เร่งหันมาให้ความสำคัญกับ “การต่อต้านภัยคุกคามทางทหาร” ไม่ว่าระดับใหญ่หรือเล็ก โดยกองกำลังของฝ่ายปรปักษ์ รวมทั้งให้ยกระดับอำนาจการยิง และขีดความสามารถในการโจมตีด้วยขีปนาวุธ หรือ “เพิ่มศักยภาพในการรับมือต่อสงครามนิวเคลียร์” ไม่ว่าในการป้องกันหรือตอบโต้ โดยที่ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ จะเกี่ยวข้องพัวพันกับ “ปัญหาสุขภาพ” ของ “คิมน้อย” หรือเป็นเพราะ “สัญชาตญาณ” อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้นำรายนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้...

รวมทั้ง “ข่าวล่า-มาเรือ” อีกเรื่องหนึ่ง...ที่ค่อนข้างให้บรรยากาศ “ขนหัวลุก” ไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นก็คือข่าวคราวว่าด้วยการคิดจะหันกลับไป “ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์” เป็นครั้งแรก ในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ หรือในรอบ 28 ปี ของรัฐบาลอเมริกันภายใต้ความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” ที่ออกจะบ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากรับประทานยารักษาโรคมาลาเรียเพื่อป้องกันเชื้อ “COVID-19” ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร คือแม้ว่าโดยสนธิสัญญาที่เรียกกันย่อๆ ว่า “CTBT” (Comprehensive Nuclear-Test-Ban Treaty) ที่ให้การรับรองโดยสหประชาชาติ เมื่อเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1996 จะมีข้อห้ามต่อการกระทำ หรือปฏิบัติการใดๆ ในลักษณะเช่นนี้ แต่หลังจากที่รัฐบาลอเมริกันได้ออกมากล่าวหาประเทศจีนเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ว่าแอบทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ไปเมื่อปีที่แล้ว แถวๆ มณฑลซินเจียง ข้อกล่าวหาเช่นนี้ก็เลยสามารถหยิบยกมาใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการเรียกระดมเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของอเมริกัน เมื่อช่วงวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา และนำไปสู่การป่าวประกาศถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอเมริกัน จะเริ่มปฏิบัติการที่ใช้ชื่อว่า “Divider” เพื่อทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง หลังจากที่เคยเลิกๆ ไปนานแล้ว หรือหลังจากที่ “สงครามเย็น” ได้ยุติลงไปแล้วอย่างเป็นทางการ...

ไม่ว่าการป่าวประกาศเช่นนี้ จะเพื่อหาทางดึงจีนและรัสเซีย ให้เข้ามาร่วมในข้อตกลงด้านอาวุธนิวเคลียร์ที่สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่ก็นั่นแหละ...มันย่อมส่งผลให้บรรยากาศความเป็นไปของโลกในช่วงนี้ แทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากช่วงยุค “สงครามเย็น” ในอดีตเอาเลยแม้แต่น้อย เผลอๆ...อาจหนักซะยิ่งกว่าเอาเลยก็ไม่แน่!!! ด้วยเหตุเพราะระบบ ระเบียบ และกลไก ในการช่วยลด ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด มันได้ถูกทำลาย หรือถูกกัดกร่อน จนแทบไม่เหลือประสิทธิภาพเท่ากับเมื่อยุคอดีตที่ผ่านมา ดังนั้น...สงครามเย็นรอบใหม่ ระหว่างจีนกับอเมริกา ที่แทบไม่ต่างไปจาก “สงครามโลกแบบสโลว์โมชั่น” จึงเป็นอะไรที่น่าขนหัวลุก น่าขนพอง สยองขวัญ ไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้งอดีต เพราะสุดท้าย...ยังไงๆ มันคงหนีไม่พ้นที่จะต้องกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” จนได้ ตราบใดที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลกใบนี้ ยังมี “ความผิดปกติทางจิตอันเนื่องมาจากแนวคิดแบบสงครามเย็น” อีกต่อไป...