ฮ่องกงเวียนย่ำซ้ำรอยเดิม...

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000005588801.JPEG

ชาวฮ่องกงส่วนหนึ่งได้หวนกลับเข้าสู่บรรยากาศเดิม นั่นคือการชุมนุมประท้วงทั้งผู้บริหารเขตปกครองพิเศษและรัฐบาลจีนโดยตรง ประเด็นล่าสุดคือการออกมาต่อต้านร่างกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของฮ่องกง ซึ่งรวมถึงพื้นที่ฝั่งเกาลูนด้วย

ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นการเริ่มต้น คนเข้าร่วมไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหนุ่มวัยทำงาน ซึ่งห่วงใยอนาคตของตัวเอง เพราะอีก 27 ปีจากนี้ไป ฮ่องกงจะเข้าอยู่ภายใต้การปกครองของจีนอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ต่างจากในแผ่นดินใหญ่

ผู้เข้าร่วมชุมนุมสวมหน้ากากป้องกันทั้งแก๊สน้ำตา และเชื้อโควิด-19 ซึ่งการระบาดไม่มาก มีคนติดเชื้อเพียงกว่า 1,066 ราย ยอดคนเสียชีวิต 4 ราย ถือว่าต่ำมาก ทั้งๆ ที่อยู่ติดกับจีนซึ่งเป็นต้นตอของการระบาด เพราะผู้บริหารฮ่องกงจัดการได้ดี

คนฮ่องกงมีประสบการณ์กับการระบาดของโรคไข้หวัดนก ซาร์ส และโรคอื่นๆ ซึ่งผ่านมาจากจีน การสวมหน้ากากอนามัยถึงเป็นเรื่องปกติที่คนฮ่องกงต้องป้องกันตัวเองภายใต้สภาวะความเป็นอยู่แออัดยัดเยียดในอาคารเก่า ดังเช่นในพื้นที่มงก๊ก

เพียงแค่การชุมนุมวันแรก เจ้าหน้าที่ต้องยิงแก๊สน้ำตาเข้าสลาย มีการปะทะประปรายในวันอาทิตย์ ถือว่าเป็นสภาพซ้ำเติมฮ่องกงซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหลายเดือน ธุรกิจปิดตัว เศรษฐกิจซบเซา การบิน โรงแรม การท่องเที่ยวแทบไม่เหลือ

เหตุการณ์ประท้วงปีที่ผ่านมาหยุดเพราะการระบาดของโควิด-19 ธุรกิจต้องปิดตัว คนฮ่องกงต้องกักตัวเอง เท่ากับว่าจากการประท้วงรุนแรง ตามมาด้วยการระบาดของเชื้อโรค คนจำนวนมากอพยพออกไปก่อนหน้านี้ เมื่อดูแล้วหมดหวัง

เมื่อมาเริ่มการประท้วงรอบใหม่ โอกาสที่ฮ่องกงจะได้ฟื้นตัว แทบมองไม่เห็น เมื่อรัฐบาลจีนจะออกกฎหมายซึ่งควบคุมป้องกันการกบฏ การยุยงปลุกปั่น การแบ่งแยกดินแดน และการก่อความไม่สงบ ถือว่าเป็นยาแรงคนฮ่องกงทนรับไม่ได้

เมื่อ 13 ปีก่อน ได้มีความพยายามออกกฎหมายห้ามการปลุกระดม แต่ถูกยกเลิกเมื่อมีการประท้วง ปีที่ผ่านมาผู้บริหารฮ่องกงจะออกกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งได้เป็นต้นตอของการประท้วงรุนแรง และทั้งสองฝ่ายไม่ยอมลดราวาศอก

ผลสุดท้าย ฝ่ายบริหารยอมระดับหนึ่ง แต่ผู้ประท้วงมองว่าไม่ช้าก็เร็ว จะมีความพยายามรอบใหม่ ปรากฏว่าคราวนี้มาจากสภาประชาชนซึ่งกำลังประชุมพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใหม่ ทำให้สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ร่วมคัดค้านด้วย

มีแถลงการณ์โดยอดีตผู้ว่าฮ่องกง คริส แพตเทน นักการเมืองอังกฤษ และคนดังๆ จาก 23 ประเทศ โดยเฉพาะนักการเมืองสายเหยี่ยวของสหรัฐฯ อ้างว่าจีนได้ละเมิดข้อตกลงในเรื่องการส่งมอบฮ่องกงคืนในปี 1997 และเป็นเรื่องน่ากังวล

สหรัฐฯ เป็นเอาหนัก ที่ผ่านมาก็ผ่านกฎหมายปกป้องว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของคนฮ่องกง คราวนี้ก็เตือนจีนว่าจะได้รับการตอบโต้ซึ่งอาจเป็นกำแพงภาษีสูงกว่าเดิมสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งผู้นำจีนคงไม่สนใจ มองว่าเป็นการแทรกแซงชัดเจน

สหรัฐฯ ไม่ได้แข็งแกร่ง สั่งใครได้เหมือนเดิม กลุ่มประเทศยุโรปก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การชี้นิ้ว สั่งการ หรือเป็นลูกไล่ของสหรัฐฯ เหมือนแต่ก่อน ยิ่งมีผู้นำทำเนียบขาวอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยแล้ว บรรดาผู้นำชาติตะวันตกแทบไม่ให้ความเชื่อถือ ศรัทธา

อาจมีเพียงออสเตรเลีย หรืออังกฤษ หรือกลุ่มประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ที่ยังจะให้ราคาทรัมป์ เพราะยังถือว่าเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศ “5 ตา” ซึ่งรวมแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่แชร์ข้อมูล ข่าวกรองสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับความมั่นคง

ถ้าประเทศใดแหกคอก จะได้ฟังคำขู่จากทรัมป์ อย่างเช่นออสเตรเลียก็โดน หลังจากถูกเตือนจากสหรัฐฯ ว่าอย่ามีส่วนร่วมในโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของจีน และออสเตรเลียก็โดนจีนเล่นงานเพราะก่อนหน้านี้เดินตามก้นสหรัฐฯ

ออสเตรเลียเป็นตัวตั้งตัวตีให้องค์การอนามัยโลก และประชาคมโลกจัดประชุมสอบสวนต้นตอการระบาดของโควิด-19 โดยชี้เป้าไปยังจีน แต่ประเทศในยุโรปไม่มีท่าทีแข็งกร้าว ทำให้จีนสั่งขึ้นภาษีนำเข้าข้าวบาร์เลย์จากออสเตรเลีย

ดังนั้น การส่งเสียงดังจากประเทศใด โดยเฉพาะสหรัฐฯ คงไม่มีผลทำให้จีนต้องถอยจากการผลักดันร่างกฎหมายว่าด้วยความมั่นคง ยิ่งสี จิ้นผิง มีอำนาจ และมีผลงานด้านการหยุดการระบาดของเชื้อโรค ทำให้ไม่กังวลมากเรื่องเสียงสนับสนุน

ที่สำคัญ จีนมองว่าตัวเองโดนสหรัฐฯ เล่นงานมานานแล้วเรื่องกำแพงภาษี ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกมีปัญหา และถูกซ้ำเติมโดยการระบาดของโควิด-19 ถ้าจะยอมสหรัฐฯ คงจะทำให้เสียสถานภาพ ทำให้คนฮ่องกงได้ใจ หาทางเรียกร้องไม่สิ้นสุด

เพราะถึงอย่างไรฮ่องกงต้องตกอยู่ภายใต้จีนวันยังค่ำ ไม่มีหนทางรอดไปได้ และก็มีมุมมองว่า ถ้าคนจีนกว่า 1.3 พันล้านคนอยู่ได้ ไม่มีปัญหาเรื่องเยอะด้านสิทธิเสรีภาพ และจีนก็พัฒนาอย่างมาก ทำไมคนฮ่องกงมีไม่เกิน 7 ล้านคนยอมไม่ได้

เห็นสภาพเช่นนี้ คนหนุ่มสาวฮ่องกงคงมองว่าอีก 27 ปีจากนี้ไป ตัวเองจะไม่ต่างจากคนจีนบนแผ่นดินใหญ่ และคงต้องรู้ว่าการดิ้นรนครั้งนี้อาจเป็นเฮือกสุดท้าย และไม่ได้รับการสนับสนุนมากเหมือนที่ผ่านมา เพราะการประท้วงทำให้เศรษฐกิจยับเยิน

จากนี้ไปต้องดูว่าจะมีคนเข้าร่วมมาก และมีความรุนแรง การปะทะหรือการเผาหรือไม่ และต้องดูว่าจีนจะส่งกำลังเข้าช่วยตำรวจฮ่องกงควบคุมสถานการณ์หรือไม่ ครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างรัฐบาลจีน และคนฮ่องกง

ผู้บริหารฮ่องกงอาจแอบผ่อนลมหายใจเพราะครั้งนี้รัฐบาลจีนเล่นเอง!