ทิสโก้เปิด 4 ธีมการลงทุน รับประโยชน์โลกเปลี่ยนหลัง COVID-19 ระบาด

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000005573301.JPEG

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้เปิด 4 ธีมลงทุนรับประโยชน์หลัง COVID-19 ระบาด ตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค แนะเน้นลงทุนในสหรัฐฯ จีน รวมถึงหุ้นกลุ่มหุ่นยนต์, ระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ, เฮลท์แคร์, อีคอมเมิร์ซ การศึกษาออนไลน์ และถือทองคำเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และพฤติกรรมของประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่าหลังจากนี้จะมี 4 ธีม (Theme) การลงทุนที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจโลกและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการระบาดของ COVID-19 ดังนี้

1. ธีมความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการ Lockdown เพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจหยุดชะงักไปทั่วโลก โดยภาคธุรกิจต้องสูญเสียรายได้มหาศาล ขณะที่ประชาชนหลายล้านคนกลายเป็นคนว่างงาน ภาครัฐจึงใช้กลไกกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการคลังเพื่อช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและป้องกันความเสี่ยงในระบบการเงินไม่ให้ลุกลามไปจนเกิดวิกฤต รวมถึงช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่างๆ แก่ประชาชนที่ว่างงานและขาดรายได้ให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ และป้องกันปัญหาสังคมในระยะยาว ดังนั้น ความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะป้องกันความเสียหายต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าประเทศใดจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วจากวิกฤตครั้งนี้

โดยประเทศที่มีความได้เปรียบและความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีข้อได้เปรียบจากการที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีสถานะเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และหากเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วด้วยกัน เช่น ญี่ปุ่น และยุโรปแล้ว พบว่าสหรัฐฯ ยังมีระดับหนี้สาธารณะที่ต่ำ และขนาดของงบดุลของธนาคารกลางเมื่อเทียบกับ GDP ยังต่ำกว่าประเทศอื่น จึงมีความยืดหยุ่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในด้านการเงินและการคลัง ส่วนจีนยังมีหนี้สาธารณะต่ำ และไม่ได้พึ่งพาแหล่งเงินทุนจากนอกประเทศ ขณะที่นโยบายการเงินค่อนข้างเข้มงวด จึงทำให้จีนมีความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มละตินอเมริกา เพราะมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาตกต่ำทำให้ต้องพึ่งพาแหล่งทุนจากต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นข้อจำกัดในการทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

2. ธีม Deglobalization หรือการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ เป็นพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากกระแสการเรียกร้องของประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้วที่ไม่พอใจกับการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชนชั้นแรงงาน ในขณะที่เจ้าของกิจการและนักลงทุนกลับได้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ถูกลงอย่างเต็มที่ ซึ่งกระแสดังกล่าวเริ่มเห็นได้ชัดตั้งแต่ประชามติ Brexit ในปี 2559 และปี 2561 ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มสงครามการค้ากับจีนด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าหลายระลอก ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตในหลายอุตสาหกรรม การระบาดของ COVID-19 ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเสี่ยงของการใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบที่ต้องนำเข้าจากหลายประเทศ และเป็นการเร่งกระแส Deglobalization ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากทั้งความพยายามของภาคธุรกิจที่ต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิต และภาครัฐที่มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกีดกันทางการค้าและการปกป้องธุรกิจในประเทศที่เข้มข้นขึ้น

“หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากธีมนี้ ได้แก่ กลุ่มหุ่นยนต์ (Robotic) และระบบควบคุมอัตโนมัติ (Automation) เนื่องจากการทวนกระแสโลกาภิวัตน์จะส่งผลให้มีการย้ายฐานการผลิตกลับเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้วเพื่อให้ฐานการผลิตอยู่ใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น โดยจะใช้หุ่นยนต์และเครื่องจักรเพื่อทดแทนแรงงานคนในประเทศพัฒนาแล้วที่มีค่าแรงสูง ขณะที่กลุ่มประเทศที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเป็นหลักแต่มีขนาดในประเทศขนาดเล็กอาจเสียประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต เช่น ไทย มาเลเซีย เป็นต้น” นายคมศรกล่าว

3. ธีมเสถียรภาพทางการเงิน จากการใช้นโยบายการคลังขนาดใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 เช่น การแจกเงินแก่ผู้ว่างงาน การเรียกร้องสวัสดิการจากภาครัฐเพิ่มขึ้นของภาคประชาชน ซึ่งอาจส่งผลต่อการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ เมื่อใช้ร่วมกับนโยบายการเงินผ่อนคลาย เช่น การลดดอกเบี้ยต่ำ และอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางจำนวนมหาศาลอาจหนุนให้เงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต

“หากเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้นสูงในขณะที่เศรษฐกิจยังอ่อนแอจะทำให้ภาครัฐต้องถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเวลา เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะ 'เศรษฐกิจชะงักงัน’ (Stagflation) คือมีอัตราการว่างงานสูงและเงินเฟ้อสูง ในกรณีนี้แนะนำให้ถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนชดเชยเงินเฟ้อได้ดีเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และหลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เพราะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในอนาคต” นายคมศรกล่าว

4. ธีมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม COVID-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนในวงกว้าง เช่น การให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และการทำงานและเรียนนอกสถานที่ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มเฮลท์แคร์ (Health Care), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และการศึกษาออนไลน์ (Edutainment) เป็นต้น