‘นครใหญ่ๆ ในจีน’กุมขมับ ต้องหาทางคุมเข้มโรคระบาดพร้อมๆ กับฟื้นฟูชีวิตทางเศรษฐกิจ

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000001453001.JPEG
ตำรวจผู้หนึ่งบังคับควบคุมโดรนที่ติดแผ่น QR code เอาไว้ บริเวณใกล้ๆ ด่านชำระเงินค่าทางด่วนในเมืองเซินเจิ้น นครใหญ่ทางภาคใต้ของจีนซึ่งอยู่ประชิดติดกับฮ่องกง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ขับขี่ยวดยานสามารถลงทะเบียนได้โดยต้องติดต่อกับคนอื่นๆ น้อยลงในช่วงไวรัสโคโรนาระบาด (ภาพที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวซินหวาของทางการจีนในวันอังคาร 11 ก.พ.)

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

Cadres, experts in quandary over virus and economy
By Frank Chen
11/02/2020

คำสั่งให้ขยายวันหยุดเทศกาลตรุษจีนสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ (10 ก.พ.) ที่ผ่านมา ขณะที่ร้านรวงและโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตในเมืองสำคัญๆ ของแดนมังกรเริ่มต้นเปิดดำเนินกิจการกันอีกครั้ง โดยที่ทางการของนครใหญ่เหล่านี้ต่างแข่งขันกันงัดมาตรการต่างๆ ในการคุมเข้มการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เหล่านครใหญ่ระดับแถวบนสุดของจีน กำลังอ้าแขนต้อนรับพวกคนงานอพยพให้เดินทางไหลบ่าเข้ามา และเวลาเดียวกันนั้นก็แข่งขันกันอย่างไม่ลดละในการออกกฎระเบียบอันเข้มงวดเพิ่มยิ่งขึ้นเพื่อสกัดกั้นโรคระบาดที่อาจลุกลามมากขึ้นพร้อมๆ กับการหวนทะลักกลับของผู้คน

ไม่ว่าจะเป็น ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, กว่างโจว, หรือ เซินเจิ้น ทั้งหมดต่างอยู่ในภาวะกึ่งปิดประตูลั่นกุญแจ โดยกำลังจัดตั้งจุดตรวจที่มีอุปกรณ์ติดตามวัดอุณหภูมิร่างกายขึ้นตามบริเวณสุดเขตเมืองของตน และตามตู้เก็บค่าผ่านทางบนทางหลวงสายต่างๆ นอกเหนือจากคำสั่งกักกันโรคเป็นเวลา 14 วันแบบไม่มีข้อยกเว้นสำหรับทุกๆ คนซึ่งเดินทางเข้าสู่นครเหล่านี้ โดยเฉพาะในปักกิ่งนั้นมีรายงานว่าเจอผู้เสียชีวิต 2 รายจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้แล้ว

นั่นก็คือ พวกผู้ปฏิบัติงาน (cadre) ในนครเหล่านี้ต่างตระหนักเป็นอันดีว่า การกำหนดนโยบายของพวกเขาจะต้องคอยกุมหางเสือเลี้ยวลดระหว่างวัตถุประสงค์หลายๆ ประการที่ทำท่าขัดแย้งกันอยู่ ทั้งนี้ขณะที่พวกเขาขอร้องวิงวอนประชาชนให้ยังคงอยู่แต่ในบ้านและปิดผนึกลั่นดานย่านที่พักอาศัยเพื่อที่ว่าอย่างน้อยที่สุดจะได้ทำให้การแพร่กระจายของโรคบรรเทาลงมานั้น พวกเขาก็รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกข้อห้ามการเดินทางและการเข้ามาของคนงานหนุ่มสาวตลอดจนพวกผู้หางานบางรายบางส่วน เนื่องจากบรรดาโรงงานอุตสาหกรรม, กิจการค้าปลีก, และกิจการขนส่งต่างต้องกลับมาเปิดทำการดำเนินธุรกิจ ในเวลาที่เศรษฐกิจซึ่งชะลอตัวอยู่แล้ว กำลังแสดงอาการใกล้เข้าสู่ภาวะถดถอย

ตัวอย่างหนึ่งก็คือ บริษัทที่ปรึกษา ออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ (Oxford Economics) ซึ่งทำนายว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโต้ไม่ถึง 4% ในไตรมาสแรกปี 2020 นี้เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน

สำหรับตลอดทั้งปี 2020 คำทำนายนี้บอกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.6% ทั้ง 2 ตัวเลขนี้ ปรับลดลงจากการพยากรณ์ก่อนหน้าเกิดไวรัสซึ่งมองว่าจะอยู่ที่ 6%

ด้วยเหตุนี้ พวกรัฐบาลท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศจีน จึงต่างกำลังออกคำสั่งหลายฉบับที่ดูขัดแย้งกันเองในสัปดาห์นี้ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจเช็กสุขภาพและป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่คนท้องถิ่นเข้ามา แต่พร้อมกันนั้นก็อนุมัติคำขอของโรงงานต่างๆ ที่จะเริ่มทำการผลิตขึ้นใหม่

ภูมิหลังของเรื่องนี้ก็คือ คำสั่งของคณะรัฐมนตรีจีนที่ให้ยืดขยายวันหยุดช่วงเทศกาลตรุษจีนออกไป ตามคำรบเร้าของพวกพยาธิแพทย์ (pathologist) ชั้นนำทั้งหลายนั้น มีกำหนดสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เรื่องนี้ยังอธิบายให้ทราบว่าทำไมจึงมีข่าวสารที่หลายๆ ชิ้นดูไม่สอดคล้องกันเลย ต่างกำลังถูกส่งออกมาสู่โลกภายนอก เป็นต้นว่า ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐพากันเตือนว่านครใหญ่ๆ ทั้งหลายกำลังเผชิญกับการทดสอบครั้งใหม่เนื่องจากหมดช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ทางเจ้าหน้าที่ในมณฑลกวางตุ้งและมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีสถิติการติดเชื้อไวรัสสูงที่สุดในบรรดาพื้นที่นอกเขตซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดอย่างเมืองอู่ฮั่นและบริเวณอื่นๆ ของมณฑลหูเป่ย กำลังบอกว่าการแพร่กระจายของไวรัสในมณฑลของพวกตนนั้นน่าจะผ่าน “จุดสูงสุด” ไปแล้ว และกล่าวด้วยว่าโรงงานอุตสาหกรรมและกิจการอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ควรที่จะได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินงานเพื่อขับดันเศรษฐกิจ

ในเวลาที่เหล่าผู้ปฏิบัติงานกำลังใช้เวลาเพื่อกำหนดวิธีการที่จะกระทำภารกิจทั้งควบคุมโรคและทั้งดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจกันนี้เอง สถานีรถไฟในนครใหญ่ทั้งหลายก็มีผู้คนทะลักกันเข้ามาแน่นหนา โดยที่จำนวนมากถ้าไม่ถูกนายจ้างเรียกให้กลับมาทำงาน ก็หวั่นกลัวว่าบริษัทของพวกเขาอาจจะไม่สามารถอยู่รอดผ่านพ้นความยุ่งยากซับซ้อนทางเศรษฐกิจในช่วงที่โรคติดต่อยังสำแดงอิทธิฤทธิ์อยู่นี้

https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000001453002.JPEG
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดึงม่านเอาไว้ เพื่อให้ผู้ขี่จักรยานรายหนึ่งจูงรถเดินผ่านสเปรย์ฆ่าเชื้อ ขณะเขาเดินทางกลับบ้านซึ่งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยในเมืองเทียนจิน นครใหญ่ทางภาคเหนือของจีนเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา ทั้งนี้เมืองใหญ่ต่างๆ ในแดนมังกรกำลังคิดค้นนำมาตรการต่างๆ ในการคุมเข้มโรคระบาดมาใช้ ขณะที่ร้านรวงและโรงงานสถานประกอบการต่างๆ กลับเปิดดำเนินงานกันใหม่ภายหลังหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน

ควรระมัดระวังหรือควรมองโลกแง่ดี

เฟิ่ง คุย (Feng Kui) ผู้เชี่ยวชาญซึ่งทำงานอยู่ที่ ศูนย์นครศึกษา (Center for City Studies) ของคณะกรรมาธิการการพัมนาและการปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission ใช้อักษรย่อว่า NDRC เป็นหน่วยงานบริหารเศรษฐกิจมหภาคที่ขึ้นกับคณะรัฐมนตรีจีน หน่วยงานนี้มีอำนาจควบคุมด้านการบริหารและการวางแผนอย่างกว้างขวางเหนือเศรษฐกิจจีน จนถูกเรียกขานว่าเป็น คณะรัฐมนตรีชุดเล็ก ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/National_Development_and_Reform_Commission --ผู้แปล) บอกกับหนังสือพิมพ์ ไชน่า บิสซิเนส นิวส์ (China Business News) ว่า ด้วยเครือข่ายทางรถไฟไฮสปีดที่ใหญ่โตกว้างขวางของจีนในปัจจุบัน และด้วยเส้นทางการบินเชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลางเมืองสำคัญแห่งต่างๆ ซึ่งมีเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการเชื่อมโยงอันมีอยู่เพียงจำกัดย้อนหลังไปในปี 2003 ตอนที่โรคซาร์ส (โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลับรุนแรง) ระบาด ประชากรจีนที่เดินทางกันในแต่ละวันในทุกวันนี้น่าจะมีจำนวนคิดเป็น 6 เท่าตัวของยอดรวมเมื่อ 17 ปีก่อน

ตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ได้แก่ ถึงแม้สถานีต่างๆ ถูกสั่งปิดและเที่ยวการเดินทางจำนวนมากถูกระงับไป แต่ตามตัวเลขของบรรษัทการรถไฟจีน (China Railway Corp) เมื่อวันอาทิตย์ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ยังคงมีผู้คนเดินทางด้วยรถไฟทั่วทั้งประเทศจีนเป็นจำนวนราว 1.6 ล้านคน เฟิ่งจึงกระตุ้นบรรดาเจ้าหน้าที่ใน 4 นครระดับแถวบนสุดรวมทั้งพื้นที่ปริมณฑลของเมืองเหล่านี้ อย่าได้ลดหย่อนความระมัดระวังของพวกตนลง เนื่องจากฝูงชนจำนวนมากๆ ที่กลับเข้ามาอาจจะทำให้การระบาดพุ่งพรวดขึ้นไปอีก

แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางรายโต้แย้งมองมุมต่างออกไปจากความเห็นเช่นนี้ โหว จินหลิน (Hou Jinlin) นักระบาดวิทยาชั้นนำคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ภาคใต้ (Southern Medical University) นครกว่างโจว บอกกับ เซาเทิร์น เดลี่ (Southern Daily) ปากเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขามณฑลกวางตุ้งว่า เวลาผ่านไปมากกว่า 14 วัน (ระยะเวลากักกันโรคที่นิยมใช้กัน) นับตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ซึ่งเมืองอู่ฮั่นปิดสถานีรถไฟและสนามบินต่างๆ เพื่อหยุดยั้งผู้ติดเชื้อไม่ให้หลบหนีออกไป และนครใหญ่ๆ อย่างเช่นกว่างโจวก็ไม่ได้เห็นการพุ่งพรวดของผู้ติดเชื้อรายใหม่ใดๆ รวมทั้งฉากทัศน์ภาพสมมุติสถานการณ์ในกรณีเลวร้ายที่สุดในการศึกษาของเขาก็ไม่ได้บังเกิดขึ้นมา

การมองการณ์แง่ดีเช่นนี้ของโหว ยังก้องสะท้อนอยู่ในรายงานการศึกษาชิ้นใหม่ของ จง หนานซาน (Zhong Nanshan) อายุรแพทย์ระบบหายใจ (pulmonologist) ประสบการณ์โชกโชน ซึ่งก็ทำงานอยู่ที่กว่างโจวเช่นเดียวกัน โดยที่เขามีชื่อเสียงเกียรติคุณโด่งดังทั่วประเทศ จากการมีบทบาทนำในการต่อสู้กับโครซาร์ส และจากความซื่อสัตย์ในการพูดความจริงย้อนหลังไปได้ถึงเมื่อครั้งปี 2003

ทีมงานของ จง ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคุณสมบัติทางคลินิกของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เอาไว้ในรายงานการศึกษาชิ้นนี้ ซึ่งได้รับการเผยแพร่ ใน “medRxiv” วารสารทางการแพทย์ของสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) โดยระบุว่า อัตราการตายของโรคระบาดจากไวรัสใหม่นี้ในมณฑลกวางตุ้ง ที่มีพื้นที่ครอบคลุม 2 เมืองไดนาโมทางเศรษฐกิจอย่างกว่างโจวและเซินเจิ้นด้วยนั้น อยู่ที่ 0.88% ต่ำกว่าอัตราการตายของโรคซาร์สอย่างมากมาย

ทั้งนี้ จง ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับแถวหน้า ซึ่งกำลังให้คำปรึกษาแก่คณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติ (ational Health Commission) ของจีน ในการสู้รบกับไวรัสนี้

ทั่วทั้งมณฑลกวางตุ้งซึ่งมีประชากรรวมกันมากกว่า 100 ล้านคน รายงานว่าพบผู้ติดเชื้อใหม่เมื่อวันจันทร์ (10 ก.พ.) เพียงแค่ 26 ราย เปรียบเทียบกับยอดเฉลี่ยในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนหน้าที่สิ้นสุด ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ที่วันละ 114 คน ทั้งนี้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลงเช่นนี้เป็นแนวโน้มที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา

รัฐบาลท้องถิ่นของกว่างโจวเพิ่งประกาศเปิดให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินของนครขึ้นมาใหม่อย่างเต็มที่ทั้ง 14 สาย ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป