“บิ๊กแดง” นับหนึ่ง ปฏิรูปกองทัพ บิ๊กโปรเจ็คที่ต้องส่งต่อ
นับหนึ่งปฏิรูปกองทัพ “บิ๊กแดง” ทิ้งทวนก่อนเกษียณ
น่าสนใจว่า การประกาศจัดระเบียบจัดระเบียบกองทัพใหม่ รวมถึงการล้างบางธุรกิจสีเขียวที่สั่งสมมานาน ของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. จะทำได้สำเร็จมากน้อยแค่ไหน
ในเมื่อเหลือเวลานั่งบนเก้าอี้ใหญ่กองทัพบก อีกเพียง 7 เดือนกว่าๆ ขณะที่ข้อเท็จจริงที่ผู้คนทั่วไปพอจะรับรู้รับทราบกันอยู่บ้าง คือธุรกิจภายในค่ายทหารมีมากมายมหาศาล และที่ผ่านมา แทบจะเป็นแดนสนธยาของจริง ที่ระบบการตรวจสอบทำได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น
ยกตัวอย่างแค่ “งบลับ” แม้แต่กลไกระบบรัฐสภา ยังยื่นมือไปแตะต้องไม่ได้
ที่สำคัญผู้มีบารมีในแวดวงสีเขียว รวมถึงผู้จะเข้ามารับไม้ต่อ จะเห็นสอดคล้องหรือร่วมสนับสนุนสานต่อนโยบายที่ประกาศแค่ไหน ถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ
แต่หากมองในเชิงบวก ข้อดีคือเป็นจุดเริ่มต้น เพราะกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว การจะขยับขับเคลื่อนถึงขั้นปฏิรูปกองทัพ ย่อมต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นสิบปี จึงจะเห็นเป็นรูปร่างและโครงสร้างที่ชัดเจน แต่การมีจุดเริ่มต้น ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
แค่ไฟเขียวให้มีการ “เชือด” นายทหารยศนายพัน 2 นาย ที่เกี่ยวพัน “อมเงิน” ลูกน้อง ย้ายไปเข้ากรุ ก็เป็นตัวอย่างแรกที่ยืนยันได้ว่า “เอาจริง” และยังมาเร็วกว่าที่ได้แถลงไว้ว่า “3 เดือนนับจากนี้ จะมีนายพลนายพันไม่มีงานทำ”
หากเป็นตามกำหนด 3 เดือนที่ว่า เท่ากับโยกย้ายกลางฤดูในเดือนเมษายนนี้ จะมีพิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา หลีกเลี่ยงสถานการณ์ “เสียวสันหลัง” ไม่พ้น
นอกจากแนวทางเลือกเฟ้นผู้บังคับบัญชาที่ต้องกระตือรือร้น ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม ไม่ปล่อยตัวลงพุง เรื่องเปิดคอลเซ็นเตอร์ เปิดช่องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาและชั้นผู้น้อยทั่วไป ได้มีโอกาสร้องเรียน ซึ่งถือเป็นการทลายกำแพงที่เคยขวางกั้นระหว่างผู้บังคับบัญชา กับผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว การยึดแนวทางความโปร่งใสเรื่องอื่นๆ ภายในอาณาจักรสีเขียว ถือเป็นที่มาของเสียงสรรเสริญและชื่มชม หากสามารถทำได้จริง
ทั้งเรื่องสวัสดิการเงินกู้ของทหาร สำหรับโครงการจัดสรรที่ดินหรือบ้านพร้อมที่ดินให้กับทหารชั้นผู้น้อย ที่มีเรื่อง “เงินทอน” ชนวนเหตุของปฏิบัติการสังหารโหดที่นครราชสีมา เรื่องคืนเงินรายได้ในโครงการนำที่ดินราชพัสดุของกรมธนารักษ์ มาจัดสรรทำบ้านพักสวัสดิการให้ทหาร คืนกลับไปเป็นรายได้เข้ากระทรวงการคลัง
หรือแม้แต่เรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนทั้งบางขณะนี้ คือให้ทหารที่เกษียณอายุแล้ว แต่ยังยึดบ้านหลวงเป็นของตัวเองไม่ยอมคืน ซึ่งสะเทือนไปถึงระดับ “บิ๊กสีเขียว” จำนวนมากที่อยู่ในข่ายนี้ กระทั่งกูรูทางการเมืองฟันธงเป็นไปไม่ได้ และโดนตอกย้ำมากขึ้น เมื่อมีการแยกแยะเป็น 2 กลุ่ม ระหว่างยังทำประโยชน์ให้ประเทศ กับกลุ่มที่ไม่ได้ทำ
เท่ากับเป็น 2 มาตรฐานอยู่เช่นเดิม แม้จะพยายามหาเหตุผลเรื่องทำประโยชน์ต่อประทศชาติมาเป็นข้ออ้างก็ตาม
หากยังเป็นไปตามนี้ โอกาสที่จะเห็น “บ้านหลวง” เพียงพอต่อกำลังพลอย่างที่ “บิ๊กแดง” แถลง ก็ต้องร้องเพลง “รอ” ต่อไป
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือการจัดระเบียบและความโปร่งในธุรกิจของกองทัพ ซึ่งแทบไม่มีใครรับรู้ข้อมูลที่แท้จริงว่า มีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นสนามมวยลุมพินี สนามม้า (รวมต่างจังหวัด) โรงแรมและสถานพักผ่อนสวนสนประดิพัทธ์ ที่หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ สนามกอล์ฟของกองทัพบก
ธุรกิจของกองทัพเหล่านี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เคยวิพากษ์นอกสภาฯ และจัดไว้ในหมวด “รายได้นอกงบประมาณ”
นายธนาธร ยังขยายผลไปถึงรายได้ส่วนอื่นๆ ของกองทัพ อาทิ สัญญาสัมปทานสถานีโทรทัศน์ 2 ช่องหลัก เงินสัมปทานสถานีวิทยุเกือบ 200 สถานี รวมถึงค่าเช่าโครงข่ายภาคพื้นดิน หรือ มักซ์ รวมแล้วเกือบ 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่ ประกาศนโยบายชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าจะปฏิรูปกองทัพ ลดขนาดและลดงบประมาณ รวมกระทั่งยกเลิกเกณฑ์ทหาร ตั้งแต่ยังไม่เริ่มรณรงค์หาเสียง
การประกาศปฏิรูปกองทัพ จัดระเบียบ ล้างบางและสร้างความโปร่งใส ของธุรกิจในรั้วสีเขียว หากมองในอีกด้านหนึ่ง ก็ถือเป็นการตัดหน้าชิงลงมือทำก่อน เพื่อไม่ให้กองทัพถูกนักการเมืองบี้ละเลงไปมากกว่านี้
อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น การจะปรับเปลี่ยนองค์กรใหญ่ที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญ และอยู่กับความมั่นคงของประเทศมายาวนานอย่างกองทัพ คงไม่สามารถทำได้แล้วเสร็จในเวลาอันสั้น
แต่การมีจุดเริ่มต้น ถือเป็นสัญญาณอันดีของการพัฒนาเปลี่ยนแปลง และไม่แน่นัก เราอาจได้เห็นบทบาทใหม่ของ “บิ๊กแดง” ในอนาคตที่ไม่ไกลนัก อาสาตัวเพื่อผลักดันการปฏิรูปกองทัพให้สัมฤทธิ์ผลในทางปฏิบัติก็เป็นได้
จับตาติดตามกันต่อไป