“สนธิรัตน์” ยัน มี.ค.เปิดซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าชุมชน เล็งลงตรวจแท่นเอราวัณ 1 มี.ค.พร้อมประกาศข่าวดี
by ผู้จัดการออนไลน์กระทรวงพลังงาน เตรียมเปิดเวทีรับฟังความเห็น 4 แผนพลังงานหลัก 18 ก.พ. ดันโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากผนวกแผนพีดีพี “สนธิรัตน์” ลั่น มี.ค.นี้เปิดประกาศรับซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าชุมชนแน่ พร้อมลงแท่นขุดเจาะเอราวัณ 1 มี.ค.นี้ พร้อมเผยข่าวดี
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า วันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะจัดรับฟังความคิดเห็น 4 แผนหลักด้านพลังงาน ที่ได้ครอบคลุมนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจฐานรากซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์ต่างๆอย่างรอบคอบที่คาดว่าจะเสร็จภายใน ก.พ.นี้ และจะเปิดประกาศการรับซื้อที่ระยะแรก 700 เมกะวัตต์ ภายในเดือนมีนาคมนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 มีนาคมนี้ ตนจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมแท่นปิโตรเลียม “เอราวัณ” ที่ขณะนี้ดูแลโดยบริษัท เชฟรอน ประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด และจะหมดอายุสัมปทานเดือนเมษายน 2565 และจะเปลี่ยนเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC) ที่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ร่วมกับมูบาดาลา จะเข้ามาดำเนินการต่อ โดยจะมีการประกาศแผนงานครั้งใหญ่ นับเป็นข่าวดีสำหรับกิจการปิโตรเลียมระหว่างการเยี่ยมชมแท่นเอราวัณด้วย
ขณะที่นโยบายที่มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บมจ.ปตท.ไปพิจารณาเรื่อง ชะลอการใช้ก๊าซจากอ่าวไทยและเมียนมาไปก่อน โดยให้นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) มาทดแทน เพราะ ราคาต่ำกว่านั้น ในเรื่องนี้ยังรอการวิเคราะห์จากทุกฝ่ายว่าจะมีผลดี หรือผลกระทบอะไรบ้าง กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซฯ ด้วยหรือไม่ หากทำได้ก็ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำลงและเก็บก๊าซฯ ในประเทศที่เป็นก๊าซเปียกไว้เป็นต้นทุนสำหรับการผลิตปิโตรเคมีต่อเนื่องได้ยาวนานมากขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่า แผนหลักด้านพลังงานมี 5 แผน ประกอบด้วย การปรับปรุงแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาว พีดีพี 2018 (ปี 2561-2580) แผนบริหารและจัดการก๊าซธรรมชาติ (GAS Plan 2018) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP 2018) และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2018) และบริหารน้ำมันเชื้อเพลิง(Oil Plan2018) แต่แผนน้ำมันยังไม่แล้วเสร็จเนื่องจากอยู่ระหว่างทบทวนการปรับตัวเลขหลังประกาศนโยบายให้น้ำมันไบโอดีเซล บี 10 และแก๊สโซฮอล์ อี 20 เป็นน้ำมันพื้นฐานของประเทศ
ทั้งนี้ 4 แผนหลักดังกล่าวนำเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชนที่ตลอดแผน 20 ปีจะมีประมาณ 1,900 เมกะวัตต์มารวมด้วย จากแผนระยะที่ 1 ปริมาณ 700 เมกะวัตต์ ซึ่งแผนนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน สร้างรายได้ต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ก็ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าแพงขึ้นทั้งแผนประมาณ 10 สตางค์ต่อหน่วย จากแผนเดิมต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 3.59 บาทต่อหน่วย ส่วนแผนก๊าซฯจากการที่ก๊าซฯ พม่า และอ่าวไทย ลดลง แต่มีการประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณ เสร็จสิ้นทำให้กำลังผลิตก๊าซฯ จาก 2 แหล่งนี้อยู่ที่ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้นจากแผนพีดีพี 2015 ทำให้คาดการณ์ว่าการนำเข้าแอลเอ็นจีจะลดลงจาก 34 ล้านตันต่อปี เหลือ 26 ล้านตันต่อปี เป็นต้น