ตบปากไอ้ห้อยไอ้โหน! “ดร.กิตติธัช” งัด “ข้อมูลจริง” โต้ “ข่าวเท็จ” นักกวนเมือง สำทับ “เหรียญมีสองด้าน”

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000001072001.JPEG

“ดร.กิตติธัช” ตบปากไอ้ห้อยไอ้โหนกระแสไวรัสโคโรนา เล่นเกมการเมืองปล่อยข่าวบิดเบือนความจริง งัด “ข้อมูลจริง” มาโต้ ย้อนเจ็บ พวกเร่งรัดไปรับนักศึกษาไทยกลับบ้าน มีตัวอย่างนายกฯญี่ปุ่นกำลังถูกโจมตี สำทับ “เหรียญมีสองด้าน”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(31 ม.ค.63) เฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ของดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้านปรัชญาการเมือง โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“ความเสี่ยงเมื่อคุณต้องการอพยพพลเมืองออกจากพื้นที่ระบาดของโรค โดยไม่สนต่อข้อปฏิบัติตามหลักสาธารณสุขของ WHO ที่ต้องควบคุมและจำกัดวงการแพร่ระบาดของไวรัสให้อยู่ในพื้นที่

ปัจจุบัน นายกฯ ญี่ปุ่น กำลังโดนโจมตีอย่างหนักว่า รีบเอาเครื่องบินไปรับคนป่วยกลับมา พร้อมกับปล่อยให้หลายคนกลับบ้าน โดยไม่มีมาตรการควบคุม นอกจาก "ขอความร่วมมือ" ไม่ให้ออกนอกบ้าน

(ทั้งที่บุคคลเหล่านี้มีโอกาสอยู่ในระยะฟักเชื้อ และแพร่ไวรัสไปทั่วประเทศญี่ปุ่นได้)

แน่นอนว่า การทำเช่นนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมัน เหรียญมีสองด้าน ด้านหนึ่งอาจได้ใจประชาชนว่ารีบดูแลพลเมือง อีกด้านอาจโดนโจมตีเรื่องการละเลยความเสี่ยงด้านสาธารณสุข

ซึ่งก็บอกไม่ได้ว่าอย่างใดดีกว่ากัน อย่างใดถูกหรือผิดกว่ากันชัดเจน เพราะเรื่องราวในโลก ไม่ใช่การใช้แต่หลักเหตุผลมาตัดสินเพียงอย่างเดียว เพราะการบริหารความเชื่อมั่นและกำลังก็เป็นเรื่องสำคัญ

นอกจากนี้ เฟซบุ๊กดังกล่าว ยังอ้างสาระสำคัญจาก เพจเฟซบุ๊ก Thailand Vision

ที่เนื้อหาระบุว่า “วันที่ 30 มกราคม 2020 สำนักข่าว The Japan Times รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ในกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่นั่งเครื่องบินอพยพออกมาจากเมืองอู่ฮั่นของประเทศจีน

เที่ยวบินแรกที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดหาให้ชาวญี่ปุ่น 206 คน ใช้โดยสารเพื่ออพยพออกจากเมืองอู่ฮั่น (ทุกคนจ่ายคนละ 80,000 เยน) เมื่อเดินทางมาถึงกรุงโตเกียว ปรากฏว่า ในจำนวนผู้โดยสารชาวญี่ปุ่น 206 คน พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 3 ราย โดยที่ผู้ติดเชื้อ 1 รายแสดงอาการอย่างชัดเจน แต่อาการยังทรงตัวอยู่ ส่วนผู้ติดเชื้ออีก 2 รายยังไม่แสดงอาการ

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า เที่ยวบินที่สองที่รัฐบาลส่งไปเมืองอู่ฮั่นนั้น มีชาวญี่ปุ่นทั้งสิ้น 210 คน และเที่ยวบินที่สองก็ได้เดินทางมาถึงกรุงโตเกียวแล้วเช่นกัน แต่มีบางคนที่เริ่มแสดงอาการออกมา เช่น การไอ แต่ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัดว่า มีผู้ติดเชื้อในเที่ยวบินที่สองกี่ราย

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ในญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อ 2 รายที่ไม่ได้เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น เป็นหญิงชาวต่างชาติอายุประมาณ 40 ปี อาชีพไกด์นักท่องเที่ยว และชายชาวญี่ปุ่นอายุประมาณ 60 ปี อาชีพคนขับรถบัสนักท่องเที่ยว ซึ่งพนักงานทัวร์ท่องเที่ยวทั้ง 2 ราย ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนจากเมืองอู่ฮั่น เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา

อีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นปัญหาในการตรวจหาผู้ติดเชื้อก็คือ รัฐบาลญี่ปุ่นไม่สามารถบังคับให้ชาวญี่ปุ่นทุกคนที่อพยพมาจากเมืองอู่ฮั่น เข้ารับการตรวจหาเชื้อ เนื่องจากญี่ปุ่น ไม่มีกฎหมายที่จะบังคับใช้กับผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ เว้นเสียแต่ว่าผู้ต้องสงสัยเริ่มแสดงอาการป่วย โดยมีชาวญี่ปุ่นจากเมืองอู่ฮั่น 2 คน ที่ปฏิเสธไม่ให้ตรวจหาเชื้อในร่างกาย

ประเด็นด้านกฎหมาย ที่ไม่มีอำนาจบังคับใช้กับผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ สร้างความกังวลไม่น้อยให้กับรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แต่อย่างไรก็ตาม นายอาเบะกล่าวกับสื่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า “เราจะให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและความปลอดภัยของประชาชน มาเป็นอันดับหนึ่ง และเราจะตัดสินใจดำเนินการในสิ่งที่จำเป็นโดยไม่ลังเล”

เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีอำนาจ ในการบังคับผู้ต้องสงสัยให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส และผู้ต้องสงสัยก็มีสิทธิ์ตามกฎหมาย ที่จะปฏิเสธทางการญี่ปุ่นไม่ให้ตรวจหาเชื้อ จึงมีประชาชนชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่ง ได้จัดตั้งพื้นที่กักกันโรคด้วยตนเอง (self-quarantine) เพื่อบังคับให้ผู้โดยสารทั้งหมดที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ให้อยู่ในพื้นที่กักกันที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้โดยสาร 2 รายที่ปฏิเสธไม่ให้ตรวจหาเชื้อ ก็ถูกกักกันเช่นกัน

ทั้งนี้ ขณะที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นจัดตั้งพื้นที่กักกันด้วยตนเอง ทางด้านรัฐบาลรัฐบาลญี่ปุ่นเอง ก็กำลังวางแผนที่จะใช้พื้นที่ของวิทยาลัยตำรวจแห่งชาติ (National Police Academy) เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้โดยสารที่อพยพมาจากเมืองอู่ฮั่น

แหล่งข้อมูล
https://www.japantimes.co.jp/news/2020/01/30/national/three-japanese-wuhan-coronavirus/ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000009910

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางปัญหา “ข่าวปลอม-ข่าวจริง” ในโลกออนไลน์แพร่สะพัด จนสร้างความสับสนให้กับประชาชนคนไทยอย่างมาก เนื่องจากคนที่ปล่อยข่าวและขยายผลส่วนหนึ่งมาจากทั้งสำนักข่าวชื่อดังของประเทศ และนักการเมืองฝ่ายค้านที่ประชาชนให้ความเชื่อถือนั้น

https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000001072002.JPEG
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith

เฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ก็เคยออกมาเสนอแนะว่า

“สำนักข่าวไทยควรทำภาพให้เข้าใจง่ายๆ และจบในภาพเดียว เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนถึงการดำเนินการพลเมืองประเทศต่างๆ ที่ติดอยู่ในเมืองอู่ฮั่น

ตัวอย่างภาพของสำนักข่าว APF (โดยในแผนภาพที่ใช้ประกอบนั้น มีการให้ข้อมูลอย่างชัดเจนดังนี้)

ประเทศที่วางแผนและได้รับอนุมัติขนย้ายแล้ว
- สหรัฐอเมริกา 240 คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่กงสุล
- ญี่ปุ่น 200 คน แต่ยังมีจะอพยพอีกราว 650 คน
- ฝรั่งเศส 240 และชาติอียู 100 คน ได้คิววันศุกร์
- เกาหลีใต้ รายๆ ร้อยคน ได้คิววันพฤหัส-ศุกร์
- สิงคโปร์ 20 คน(เจ้าหน้าที่สายการบิน) ได้คิววันจันทร์
- ศรีลังกา อนุมัติแล้วแต่ยังไม่กำหนดวัน
- โมร็อคโค อนุมัติแล้วแต่ยังไม่กำหนดวัน

ประเทศที่ยื่นเรื่องและรอจีนอนุมัติตามลำดับ
- ไทย
- อินเดีย
- รัสเซีย

ประเทศที่ยังไม่ได้ตัดสินใจดำเนินการ
- เยอรมัน
- สเปน
- อินโดนีเซีย
- ฟิลิปปินส์
- ออสเตรเลีย

หมายเหตุ: เครื่องบินที่ไปรับเป็นเครื่องบินพานิชย์ โดยพลเมืองสหรัฐฯ ที่ขอออกมาพร้อมเจ้าหน้าที่กงสุล ต้องจ่ายค่าตั๋วราว 30,000 บาท ส่วนญี่ปุ่นต้องจ่ายประมาณ 22,500 บาท ในการเดินทาง
ที่มาภาพข่าว:
https://www.afp.com/…/japan-us-ready-evacuations-china-viru…

ทั้งนี้ข่าวล่าสุด(31 ม.ค.63) - มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้จัดลำดับให้รัฐบาลไทยเดินทางไปรับคนไทยกลับประเทศได้ในวันที่ 1ก.พ.63 เวลา 06.00 น.

วันนี้(31 ม.ค.63)เช่นกัน เฟซบุ๊กKittitouch Chaiprasith โพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า

“ถ้าเราตัดการปั่นกระแสดราม่า เพื่อเอามาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการโจมตีภาครัฐ รวมถึงการอยากแสดงตัวตนโดยขาดความรู้และข้อมูลของคนบางกลุ่มในโลกออนไลน์ออกไป

เราจะพบว่า กระแสตอบรับจากนานาชาติ ต่อการรับมือการระบาดไวรัสโคโรนนาของประเทศไทยนั้น ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ทั้งทูตจีน ทั้งนักระบาดวิทยาฮ่องกง ต่างชื่นชม

ในขณะที่ปัจจุบันไทยก็จัดอยู่ในอันดับ 6 ของโลกในการรับมือโรคระบาดจากข้อมูลการประเมินของ Global Heath Index

(นักระบาดวิทยาฮ่องกงชมไทยรับมือ “ไวรัสอู่ฮั่น”
https://www.newtv.co.th/news/48527
https://www.komchadluek.net/news/regional/413814
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_3494381)

(ทูตจีนพอใจ แพทย์ไทยดูแล 'ผู้ป่วยไวรัสโคโรน่า' ดีเยี่ยม
https://www.springnews.co.th/thailand/609033
https://www.komchadluek.net/news/politic/413721
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/864242)

ดังนั้น โพสต์เฟซบุ๊กของ “ดร.กิตติธัช” จึงสะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เหลืออดกับข่าวปลอม การนำเอาข้อมูลบิดเบือนมาขยายผล ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่อง นอกจากนี้ ยังมีพวกนักกวนเมือง ปั่นกระแสด้วยความคิดเห็นส่วนตัวอีกจำนวนมากที่จับแพะชนแกะวิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงออกด้วยความสะใจในการโหนกระแสโจมตีรัฐบาล หรือหน่วยงานรัฐ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริง เพื่อให้สถานการณ์ของโรคอยู่ในความเป็นจริงมากที่สุด เพื่อง่ายต่อการควบคุมและดูแลประชาชน

ขนาดนี้แล้ว ถ้าไอ้ห้อยไอ้โหน ยังไม่รู้สึกนึกว่า ตัวเองผิดอะไร ควรหรือมิควรโหนกระแสด้วยข่าวเท็จ ก็ให้สังคมและประชาชนเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน ว่าจะยังเชื่อถือได้หรือไม่