ธปท. คาด GDP ปี 63 โตต่ำกว่า 2.8%

by
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/563000001070801.JPEG

ธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมนำปัจจัยลบเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา และความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบปี 63 เข้าหารือในที่ประชุม กนง. 5 กุมภาพันธ์นี้ คาดอาจปรับลดประมาณการณ์จีดีพีทั้งปี 63 ลงต่ำกว่าเดิมที่คาดไว้ที่ 2.8%

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะ การระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งจะกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ อย่างไรก็ตามจากตัวเลขการแพร่ระบาดขณะนี้ ถือว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจพอสมควร โดยเฉพาะในไตรมาส 1 ปีนี้

นอกจากนี้ความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐและส่งผลต่อเนื่องไปยังการตัดสินใจการลงทุนของนักธุรกิจ แต่ทั้งนี้เชื่อว่าจะล่าช้าไม่เกิน 2 เดือน ขณะที่ปัญหาภัยแล้ง จะส่งผลกระทบต่อรายได้ต่อภาคเกษตรกร และการบริโภคของภาคเอกชน

ทั้งนี้ ธปท. เตรียมนำปัจจัยลบดังกล่าว เข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งคาดว่าจากปัจจัยลบโดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา และความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบปี 63 ที่ประชุม กนง. อาจจะปรับลดประมาณการณ์จีดีพีปี 63 ลงจากเดิมที่คาดการณ์ทั้งปีโต 2.8%

ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2562 ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าที่หดตัวต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชัดเจนขึ้น ขณะที่เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวชัดเจน เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี ตามปัจจัยพื้นฐานด้านรายได้และความเชื่อมั่นที่ยังอ่อนแอ แม้จะมีมาตรการภาครัฐช่วยพยุงกำลังซื้อบางส่วน การชะลอตัวของอุปสงค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหดตัวมากขึ้น

ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวต่อเนื่องจาก พ.ร.บ. งบประมาณปี 2563 ที่ยังไม่ประกาศใช้ มีเพียงภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากไตรมาสก่อนตามการลดลงของราคาอาหารสด

สำหรับจำนวนผู้มีงานทำปรับดีขึ้นเล็กน้อย ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง ส่วนดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย ทั้งนี้ ธปท. คาดว่าจีดีพีทั้งปี 62 จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 2.5% ซึ่งเป็นตัวเลขเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้